Touching Myanmar Life Day 2 part 1

วันที่ 4 ธันวาคม 2557 ออกเดินทางสู่เมืองหงสา (Part 1)

ชมรอบที่พัก
ในทุกๆการท่องเที่ยวของผมนั้นมักจะตื่นเช้าและจะเดินรอบๆที่พักเพื่อดูวิถีชีวิต อากาศยามเช้าในพม่านั้นค่อนข้างเย็นผู้คนเดินออกจากบ้านเพื่อไปทำงานกันอย่างมีวินัยมากๆ คนพม่าจะแต่งตัวเรียบร้อย ผู้หญิงไม่มีนุ่งสั้น ส่วนผู้ชายก็มักจะใส่โสร่งพร้อมกับเสื้อเชิ๊ต ผมเดินวนอยู่รอบๆจนออกมาถึงถนนใหญ่ก็เห็นว่ารถยนต์ส่วนใหญนั้นพวงมาลัยขวาแต่ขับชิดขวา ดังนั้นในการข้ามถนนนั้นจะสับสนสุดๆเพราะไม่รู้จะมองทางไหน
ชาวพม่ามักจะมีแขวนเปลือกข้าวไว้ให้นกบินมากินด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนกพิราบบินกันอย่างสนุกสนานแต่สำหรับผมแล้วรู้สึกกลัวไวรัสจากนกพิราบมาก มองเห็นวิถีแบบนี้ก็รู้สึกแปลกดี หลังจากเดินเล่นรอบๆแล้วก็กลับที่พัก อาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปทานอาหาร

อาหารที่ High five hotel นั้นมีดังรูป มีชาและกาแฟให้เลือก ผมเลือกชานมซึ่งรสชาติที่พม่านั้นจะไม่หวานออกมันเล็กน้อย หอมอร่อยดี หลังจากที่ทานกันแล้วก็มีเป้าหมายที่จะไปชมเจดีย์ใกล้ๆที่พักกันก่อนจะออกเดินทางไปบาโกหรือหงสา

ร้าน Cake ที่พม่า
หลังจากเดินออกมาจากซอยที่พักก็เห็นร้าน SKY CAKE พวกเราก็รีบเดินเข้าไปดูว่าภายในร้านเป็นอย่างไรบ้าง

ภายในร้านมีร้านเค้กสีสันสดๆ ซึ่งราคาก็ไม่ได้ถูกนะครับ เทียบเท่ากับราคาเค้กในบ้านเรา แต่บรรยากาศร้านดูแบบโบราณ ไม่มีแอร์ สัมผัสอากาศธรรมชาติ หากมาตอนกลางวันอาจจะร้อนได้ ผมเลือกทานไอศกรีมรสนมครับ ถ้วยละ 500 จ๊าด
ไอศกรีมที่พม่ารสชาติจืดแต่หอมดี ส่วนเพื่อนผมสั่งกาแฟสดซึ่งรสชาติเข้มมากๆครับ ราคากาแฟสด 1500 จ๊าด หลังจากที่นั่งพักทานไอศกรีมแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อในการไปชมเจดีย์แถวที่พักนั้นจะต้องใช้เวลาในการเดินประมาณสิบนาที ช่วงที่ผมออกเดินทางตอน 9 โมง ทำให้รู้สึกว่าอากาศร้อนมาก แถมรถในย่างกุ้งก็ติดด้วย

Meilamu Pagoda
สำหรับการแต่งตัวเที่ยวในพม่านั้นควรจะใส่ขายาวเพราะสถานที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัด เราควรให้ความเคารพสถานที่ และหากต้องการความสะดวกสบายในการถอดรองเท้าใส่รองเท้าแตะได้เลยครับ ทุกวัดที่เราเข้าชมจะต้องถอดรองเท้าทั้งหมด หากเป็นไปได้พกถูกพลาสติก หรือถุงผ้าใส่รองเท้าแล้วนำใส่เป้ก็จะสบายหายห่วงรองเท้าไม่หาย หรือโดนเก็บค่าคุ้มครอง

วัดแห่งแรก Meilamu Pagoda
เจดีย์แรกที่ผมไปนั้นไม่ได้เป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมมากัน เนื่องจากไกลจากตัวเมืองย่างกุ้ง และไม่ได้มีความอลังการ เจดีย์แห่งนี้สร้างมาเนินนานแต่ไม่มีใครได้พบเห็นจนกระทั่งปี 1950 ได้มีการค้นพบและได้มีการบูรณะสถานให้ชาวพม่าได้มากราบไหว้กัน จุดเด่นของเจดีย์แห่งนี้คือองค์พระนั่งพับเพียบดูแปลกตา
นอกจากองค์พระแล้วหากต้องการทราบเรื่องราวความเป็นมาของเจดีย์ยงสามารถชมได้ที่วิหารทรงจระเข้ สามารถเดินเข้าไปชมประวัติของ Meilamu ได้โดย Meilamu นั้นเป็นชื่อหญิงสาวที่กำเนิดจากต้นไม้ ถูกฤาษีชุบเลี้ยงมาจนโตและได้แต่งงานกับกษัตริย์ครับ และสุดท้ายจึงได้สร้างสถานที่แห่งนี้
ก่อนทางออกจากวัดจะเห็นพระนาง Meilamu ยืนอยู่ครับ ต้องขออภัยหากประวัติผิดพลาดเพราะบางช่วงบางตอนอ่านแล้วไม่เข้าใจ หลังจากเยี่ยมชมแล้วก็เดินออกจากวัด มองข้ามถนนไปเห็นวัดทรงแปลกตาจึงได้ข้ามถนนไปอีกฝั่ง ซึ่งการข้ามถนนในพม่านั้นต้องระวังอย่างยิ่งเพราะรถจะไม่ค่อยจอด และเลนก็สลับฝั่งกับเมืองไทย ต้องระวังให้ดี

Naga cave Pagoda
เจดีย์วิหารถ้ำพญานาค เจดีย์แห่งนี้อยู่ในโซนชุมชนชาวพม่า ต้องเดินเข้าไปในชุมชนซึ่งหากเดินทางมาคนเดียวแล้วอาจจะมีอาการโดนคนพม่าจ้องบ้าง แต่ถ้าไปหลายๆคนก็อุ่นใจหน่อย ได้สอบถามทางไปเจดีย์กับชาวพม่า ก็ช่วยให้เดินได้ง่ายขึ้น

เมื่อมาถึงแล้วเห็นถึงความใหญ่โตของเจดีย์แต่ไม่สามารถเข้าไปได้มองได้จากภายนอกเท่านั้นครับ จากนั้นก็เดินทางกลับที่พั

ออกเดินทางไปสถานีขนส่งอ่องมินกะลา
ผมจัดการแบกเป้คู่กายเดินจากช้้นสี่ลงมาด้านล่างแล้วก็เตรียมจะออกไปเรียกรถ Taxi จึงได้ลองถามพนักงานที่โรงแรมว่าจากที่พักไปสถานีขนส่งนั้นราคาเท่าไหร่ ได้ราคาที่ 3,000 จ๊าดแถมพนักงานใจดีเดินออกไปเรียกรถให้
ตลอดการท่องเที่ยวครั้งนี้ผมได้มีโอกาสนั่งกับคนขับ เนื่องด้วยพูดเก่ง รู้เยอะ รวมถึงปัญหาเยอะด้วย ซึ่งบางครั้งก็ได้คุยกับคนขับตลอดทาง ระหว่างที่นั่งรถ taxi เหลือบไปเห็นพระธาตุอินทร์แขวนตรงหน้ารถแล้วทำให้รู้สึกว่าชาวพม่านั้นศรัทธาพุทธศาสนามาก ใช้เวลานั่งรถประมาณ 20 นาที คนขับก็ถามว่าเราต้องการไปไหน ผมจึงบอกว่าเราต้องการไป Bago(หงสา) คนขับทำหน้าตกใจและบอกว่าที่สถานีขนส่งไม่มีรถไป bago ผมก็งง เพราะอ่านมาทุกคนที่ไปบาโกต้องไปขึ้นรถที่นั้น คิดในใจว่าคนขับกำลังหลอกเราและอยากให้จ้างเขาไปส่งที่บาโกหรือไม่ แต่ผมก็ยืนยันให้ taxi ไปส่งเราที่สถานีขนส่งอ่องมินกะลา

VAT 1,000 จ๊าดสำหรับนักท่องเที่ยว
หลังจากลงจาก taxi แล้วพี่หม่องก็เดินมารายล้อมพร้อมกับถามว่าเราต้องการไปไหน เราบอกว่าเราต้องการไป bago พี่หม่องเปิดราคา 3,000 จ๊าดต่อคน ซึ่งผมรู้มากว่าราคาอยู่ที่ 2,000 จ๊าดจึงได้ต่อรองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้เดินไปดูรถทัวร์เจ้าอื่น 

ขอเล่าเรื่องสถานีขนส่งที่พม่าก่อนจะเทียบกับหมอชิตไม่ได้นะครับ เพราะที่นั้นเป็นการดูแลแบบบริษัทใครบริษัทมัน ดังนั้นเมื่อไปถึงแล้วจะต้องหาบริษัทเองและด้วยภาษา ความวุ่นวายแล้วหากไม่ได้ถามชาวพม่าแล้ว แทบจะไม่รู้เลยว่ารถทัวร์นั้นไปที่ไหนบ้าง

ผมกับเพื่อนๆ เดินห่างจากรถทัวร์คันที่เราต่อรองไปสองคันก็เหลือบกลับมาเห็นว่ารถกำลังจะออกจึงได้ตกลงกันว่า 3,000 จ๊าด ก็ okay ถือว่าซื้อเวลาละกัน ผมเดินไปหาคนขายตั๋วแล้วก็พบว่าชาวพม่าจ่ายแค่ 2,000 จ๊าด จึงเนียนจ่าย 2,000 ไปด้วย แต่ไม่รอดต้องจ่าย 3,000 จ๊าด คิดว่าค่า vat ชาวต่างชาติละกัน

ชีวิตบนรถทัวร์ชาวพม่า
หลังจากที่ได้นั่งรถทัวร์แล้ว ด้านขวามือนั้นจะโดนแดดส่อง แต่เราก็ไม่สามารถย้ายที่ได้เพราะคนขายตั๋วได้ระบุที่นั่งเรียบร้อยแล้ว แอร์ภายในรถเบาถึงขั้นเบามากหากเจอช่วงแดดร้อนๆแทบจะหายใจไม่ออก ขณะนั้นรถจะมีการเปิดเพลงเสียงดังมาก ซึ่งฟังไปแล้วก็เพลิดเพลินดี รถทัวร์ที่นี้ไม่มีห้องน้ำดังนั้นงดน้ำทุกกรณีก่อนการเดินทาง การเดินทางไปบาโกนั้นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

สัมผัสพื้นดิน ณ บาโก
เมืองบาโกนั้นถนนหนทางยังไม่ได้เป็นปูนเป็นดินลูกรังฝุ่นคลุก มีเนินขึ้นลงเมืองนี้อนุญาตให้รถจักรยนต์สามล้อวิ่งได้ ดังนั้นการเดินทางในเมืองบาโกนั้นหากเดินทางคนเดียวก็ใช้จักรยานยนต์ได้แต่หากไปหลายคนก็ใช้เป็นสามล้อได้ ก้าวแรกที่ผมเหยียบแผ่นดินจะมีกลุ่มพี่หม่องใจดีสามสี่คนเดินเข้ามาล้อมชาวไทยทันที ช่วงเวลานั้นต้องยอมอย่างเดียวเพราะรถบริเวณนั้นไม่มีเลยจะไปเดินหาก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี เนื่องจากผมและเพื่อนจองโรงแรมไว้ที่บาโกดังนั้นเราจึงไม่ต้องเร่งรีบ ได้พูดคุยกับพี่หม่องว่าเราต้องการที่จะเที่ยวในบาโกทั้งวันราคาเท่าไหร่ พี่หม่องคิดและตีราคาเป็น 20,000 จ๊าด ซึ่งราคามาตรฐานที่ผมทราบมาคือ 15,000 จ๊าด แต่ต่อรองเท่าไหร่ก็ไม่ลด จึงขอให้พี่หม่องไปรับเราตอนเช้าเพื่อมาขึ้นรถไปพระธาตุอินแขวนแทน

หลังจากคุยราคากันแล้วผมและเพื่อนๆก็นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์พี่หม่องไปที่พักเก็บสัมภาระก่อน

Amara Gold Hotel
ที่พักในบาโกนั้นมีไม่มากซึ่งหาก walkin ก็คงจะได้ แต่ด้วยความกลัวไม่มีที่พักก็ใช้บริการ agoda ซึ่งตอนจองโรงแรมแห่งนี้ไม่มีเตียงเสริมผมกับเพื่อนๆไปกันสามคนจึงต้องไปเพิ่มเตียงแต่ห้องที่นี้เล็กมาเจ้าของจึงแนะนำให้จองห้องเพิ่มซึ่งราคาก็เป็นพันกว่าบาท สุดท้ายคุยไปมาเจ้าของเห็นใจคิด 5,000 จ๊าด (150 บาท)แต่ใช้เตียงมาชิดกันนอนกันสามคน
ภายในห้องดูแคบหน่อย แอร์เย็นมาก มี wifi ซึ่งสามารถใช้งานได้ดีกว่าโรงแรมแรก ส่วนน้ำที่ห้องเตรียมไว้ให้ขวดเดียวต่อสามคน น้อยไปหน่อยแต่ก็ซื้อเพิ่มได้ โรงแรมที่พม่านั้นอาหารไม่ได้ Charge เว่อร์เหมือนในโรงแรมประเทศไทย ผมสังเกตราคาเท่ากับร้านค้าทั่วไปเลยครับ หลังจากเก็บของพักผ่อนล้างหน้าล้างเท้าแล้วก็ขึ้นรถไปทานข้าวเที่ยงตอนบ่ายโมง

ชมที่พัก และจองโรงแรม

พี่หม่องพากิน
รูปด้านบนเป็นรถสามล้อที่ผมใช้นั่งท่องเที่ยวในเมืองบาโก ซึ่งจริงๆแล้วมันคือรถมอเตอร์ไซด์ดัดแปลงให้สามารถจุคนได้เพิ่มขึ้น ส่วนรูปคนทางขวามือชื่อพี่จอน อายุสี่สามปี มีลูกสองคน คนหนึ่งสามเดือน และลูกอายุห้าปี พี่จอนคนนี้มีประวัติด้วยเดี๋ยวจะเล่าวีรกรรมของพี่ให้ฟัง พี่จอนพาพวกเราไปทานอาหารกันที่ร้านแห่งหนึ่งชื่ออะไร ถามแล้วก็ผมก็จำไม่ได้ออกเสียงยาก
ร้านอาหารดูไม่หรูเลย แต่สำหรับผมแล้วทานได้หมด เมนูมีหลายเชื้อชาติมากแต่ราคาเพิ่มขึ้นจากที่ผมเคยทานอาหารพื้นบ้าน ราคาประมาณจานละสามพันสี่พันจ๊าดตอนแรกเข้าใจว่าโดนโก่งราคาแต่เมื่อสอบถามพี่ที่ทำงานอยู่ที่พม่าบอกว่าหากเป็นอาหารต่างชาติ จะมีราคาประมาณสามพันถึงสี่พัน จานแรกพี่หม่องแนะนำให้ทานเป็นหมูพริกมะนาว
ส่วนอีกจานหนึ่งเป็นต้มยำ รสชาติอร่อยดีครับ ถูกปากมาก แถมยังมีเครื่องเคียง แต่เครื่องเคียงยังไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ครับ พี่หม่องบอกว่าเราทานน้อยมาก หากเที่ยบกันคนพม่าแล้วทานข้าวมากกว่าเราทานสองเท่า พี่หม่องจอนน่ารักดูเป็นมิตรนั่งดูแลเราอย่างดี ตักเข้า เทน้ำให้ เมื่อผมทานข้าวใกล้เสร็จแล้วพี่หม่องก็เริ่มเล่าถึงการท่องเที่ยวในเมืองบาโก

ตกหลุมพลาง
จากข้อมูลที่ผมอ่านมากนั้นเมืองบาโกต้องระวังเรื่องการโดนหลอกมากๆ เพราะลูกเล่นเยอะที่สุด พี่จอนบอกเราว่ารู้ไหมการท่องเที่ยวในบาโกจะต้องจ่ายค่าบัตรก่อนซึ่งจ่ายครั้งเดียวเที่ยวได้หมด พร้อมทั้งหยิบบัตรเข้าชมพระราชวังบุเรงนองมาให้ดู บัตรมีราคา 10 US หรือ 10,000 จ๊าด ซึ่งมากันสามคนราคา 30,000 จ๊าด แต่บัตรใบนี้ไม่สามารถเข้าชมพระราชวังได้ และพระราชวังก็ไม่มีอะไรน่าดูด้วย แต่บัตรใบนี้สามารถเข้าชมทุกสถาที่ท่องเที่ยวได้ ผมเริ่มไม่แน่ใจกับข้อมูล เพราะเท่าที่อ่านมาก็จะเป็นการจ่ายเที่ยวเป็นจุดๆ ผมจำคำเตือนเพื่อนที่เคยมาว่าห้ามซื้อบัตรกับพี่หม่องเด็ดขาด แต่ด้วยบรรยากาศตอนนั้นเหมือนโดนมัดมือชก พี่หม่องบีบบังคับมากๆ เราก็ไม่ยอมตัดสินใจ พี่หม่องลดราคาให้ 8,000 จ๊าด เหลือ 22,000 จ๊าดด้วย แต่ผมและเพื่อนๆก็หลงกลเรื่องบัตรใบเดียวเที่ยวได้ทุกที่ หลงเชื่อแก เลยต่อลองราคากับแกได้ส่วนลดอีก 5,000 จ๊าด เหลือราคา 17,000 จ๊าด ซึ่งเมื่อชำระแล้วบัตรแกก็เก็บไว้ให้บอกว่าเดี๋ยวเวลาจะใช้แกจะพาไป

เมื่อจ่ายเงินค่าอาหารและค่าบัตรแล้วก็ออกเดินทาง โดยพี่หม่องจอนส่งเราขึ้นรถและบอกว่าเรื่องบัตรเดี่ยวเค้าจะเอาไปให้แล้วจากนั้นพี่หม่องจอนก็หายหัวไปเลย โดยที่แต่ละที่ๆผมเที่ยวนั้นไม่ต้องเห็นต้องใช้บัตรเข้าแต่อย่างใด (ผมสอบถามและอ่านข้อมูลใหม่ คือในการท่องเที่ยวนั้นแต่ละที่จะมีหลายทางเข้า คนขับจะพาเราไปเข้าด้านหลังเพื่อหลบการซื้อบัตร)

หลังจากโดนหลอกแล้วผมได้คุยกับพี่ที่เคยเที่ยว เค้าบอกว่าจุดที่ต้องจ่ายค่าเข้าชมมีสองที่
  1. พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ 3 USD
  2. พระราชวังบุเรงนอง 10 USD (ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปด้วย)
 ดังนั้นหากเจอลูกเล่นนี้บอกไปว่า เราจะไปซื้อบัตรที่ตรงทางเข้าเอง ไม่ขอซื้อกับพี่หม่อง จะได้ไม่พลาดแบบผม เมื่อผมโดนหลอกแล้วก็ถือว่ามาถึงบาโกซะที(หัวเราะแบบตลกตัวเอง แม้ว่าจะอ่านข้อมูลมาเยอะแต่ก็ไม่ทันพี่หม่อง)

บริการครบวงจรจากพี่หม่อง
นอกจากโดนหลอกแล้วพี่หม่องจอนยังรู้ว่าในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปไจทีโย จึงได้เสนอให้เพื่อนมาจองรถให้ โดยบริษัทที่เพื่อนดูแลอยู่คือ Win Express ราคาพี่เค้าคิดราคา 7,000 จ๊าดต่อคน โดยชี้แจ้งว่าเป็นการจองจากย่างกุ้งมาเลย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะมีที่นั่งไม่ต้องนั่งตรงกลางหรือยืน ในตอนนั้นผมกลัวโดนหลอกมาก หากเราต้องการจองจะต้องจ่ายเงินก่อน และต้องมาตอน 8.30 น.เท่านั้นถ้าพลาดคือเสียตั๋วเลย ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่นาน แต่ด้วยราคาแล้วถือว่าเป็นราคาปกติที่ผมเคยได้อ่านข้อมูลมาดังนั้นจึงซื้อตั๋วล่วงหน้าจากพี่หม่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันเลยพี่หม่อง
การเดินทางท่องเที่ยวในบาโกครั้งนี้มีพี่คนขับรถชื่อเนเน่ (จำง่ายๆ ว่าเนเน่จังครับ) พี่คนนี้อยู่กับเราตั้งแต่บ่ายสองโมงถึงหกโมงตลอดการท่องเที่ยวในเมืองบาโก ต้องบอกว่าพี่คนนี้น่ารักมากๆ แม้จะสื่อสารกับเราไม่ได้เพราะภาษาอังกฤษพี่เค้าไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจให้แกเต็มร้อยเลย  ไ


จุดท่องเที่ยวที่ควรไปใน บาโก ไปอ่านกันต่อ

face2cu

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)