Touching Myanmar Life Day 2 part 2

วันที่ 4 ธันวาคม 2557 ท่องเที่ยวในเมืองหงสา (Part 2)


ผมลืมแนะนำชื่อเมืองก่อนครับว่าเมืองหงสานั้น ชาวพม่าจะเรียกว่าบาโก(Bago) คนไทยบางครั้งก็เรียกว่าพะโคดังนั้นบางครั้งผมก็เรียกบาโก หรือ หงสาก็ขอให้รู้ว่าชื่อเดียวกัน




โดยตัวเมืองหงสานั้นจะมีสองฝั่งเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกมีสถานที่เที่ยวทั้งสองฝั่ง เราสามารถเหมารถเที่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงสามารถเที่ยวที่หลักๆได้ ทริปนี้ผมได้เที่ยวเต็มที่เพราะผมนอนที่เมืองหงสา

วัดจ๊ะไคท์วายน์จอง 
Kyah Khat Wain Kyaung Monastery
สถานที่แรกที่ผมได้ไป คือโรงเรียนพระสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองบาโก โดยทางเข้าจะมีรูปปั้นนายพลอองซาน หรือคุณพ่อของอองซานซูจี สถานที่แห่งนี้หากได้เดินทางมาตอนเช้าจะมีกิจกรรมการตักบาตร แต่ผมมาถึงตอนบ่ายจึงไม่ได้ตักบาตร

บริเวณห้องโถง มีสามเณรกำลังอ่านหนังสือ ท่องบทสวด พี่คนขับก็พาเรามาดู ตอนแรกผมก็รู้สึกอายๆ ที่จะถ่ายรูป แต่พี่ที่ไปด้วยถ่ายรูป ก็เลยถ่ายรูปด้วย สามเณรเหล่านี้คงจะได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวมามากจึงได้แต่มองแล้วก็ตั้งใจอ่านหนังสือต่อไปไม่ได้สนใจพวกเรา

จากนั้นจึงได้เดินไปชมโรงอาหาร และห้องครัวซึ่งค่อนข้างใหญ่เพราะจำนวนพระสงฆ์และสามเณรที่มาก 

เจดีย์ชเวมอว์ดอว์ หรือ พระธาตุมุเตา 
Shwemawdaw Pagoda

เจดีย์แห่งนี้เป็นสถานที่ห้ามพลาดสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองบาโก จากข้อมูลที่อ่านมาเจดีย์แห่งนี้มีความใหญ่กว่าเจดีย์ชเวดากอง ผมลองกะด้วยสายตาคาดว่าเจดีย์แห่งนี้ใหญ่กว่า ในคำว่ามุเตาแปลว่าจมูกร้อน ซึ่งในการชมเจดีย์ในตอนกลางวันจะเงยหน้าสูงจนจมูกตั้งฉากกับพระอาทิตย์จนจมูกร้อนจึงได้เป็นที่มาของชื่อเจดีย์แห่งนี้
ในปี 2473 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ยอดเจดีย์หักลง จึงได้นำซากยอดเจดีย์นั้นวางไว้อยู่ข้างเจดีย์ที่ผ่านการบูรณะซ่อมแซมใหม่ เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งเราสามารถสักการะขอพรได้ ของจริงนี้ยอดใหญ่มากสูงมากครับ ต้องไปชมดูด้วยตัวเอง แม้อากาศยามบ่ายจะร้อนแต่นักท่องเที่ยวและชาวพม่าก็ยังคงเดินอยู่ภายในเจดีย์แห่งนี้ หากร้อนก็สามารถหาที่หลบแดดได้ตามจุดต่างๆ ภายในเจดีย์ได้
มาถึงพระธาตุมุเตาแล้วลองแวะกราบไหว้พระพุทธรูปไม้ไผ่ ได้ของจริงสวยงามประณีตมาก แปลกตาจริงๆ อยู่ตรงจุดไหนลองหาชมกันเองนะครับ เพราะผมจำทิศไม่ค่อยได้ จำได้ตอนกลับเพราะพี่หม่องคอยดักเรียก ไม่อย่างนั้นเดินสองรอบก็ยังไม่รู้ตัว

ศาลเจ้างู
Snake Monastery
เนื่องจากพี่หม่องเป็นคนไม่ค่อยพูดขึ้นรถแล้วพี่หม่องก็พาเราออกเดินทางเลย เราก็ไม่รู้ว่าพี่หม่องพาเราไปไหน จุดนี้เองไม่ได้มีในหนังสือท่องเที่ยวแต่พี่หม่องก็บรรจุลงในโปรแกรม ศาลเจ้างู ตอนแรกผมจินตนาการว่าเป็นศาลเกี่ยวกับงูแต่เมื่อมาถึงแล้วกลับเป็นศาลเล็กๆแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้วจะพบบ่อน้ำเล็ก คาดว่าเป็นบ่อน้ำสำหรับงู แอบตกใจเล็กน้อยหันซ้ายขวาคาดว่างูตัวจริงก็อยู่แถวนี้แน่ๆ

ด้านขวามือจะมีรูปปั้นตายาย ซึ่งผมไม่ทราบประวัติความเชื่อของชาวพม่า มองไปด้านซ้ายมือก็เหลือบเห็นเงินวางตามทางเต็มไปหมด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่ามีงูขนาดใหญ่กำลังนอนขดตัวอยู่หลังรูปปั้นตายาย
ผมเป็นคนกลัวงูเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นงูตัวใหญ่ขนาดนี้ก็เริ่มกังวลกลัวว่าจะงูจะเลื้อยออกมา แต่โชคดีงูกำลังนอนพักผ่อนอย่างสบาย จึงทำให้ได้กราบไว้ตามความเชื่อชาวพม่า เมื่อเดินออกมาแล้วจะมีทางขึ้นไปชมเจดีย์องค์เล็กๆด้วย หากมีแรงขยันขึ้นก็ลองขึ้นไปได้

เจดีย์ฮินตะกอง
Hintha Gon Pagoda

เจดีย์แห่งนี้จะอยู่บนเชิงเขาเล็กในการขึ้นชมจะต้องเดินขึ้นสำหรับผมแล้วถือไม่สูงมาก รอบๆจะมีของขายสินค้า OTOP เต็มไปหมดแม่ค้าที่นี้เรียบร้อยไม่มีการยื้อหรือเรียกพวกเราให้ซื้อ อาจจะผู้ชายสามคนไม่ได้เป็นกลุ่ม Target ด้วย ภายในเจดีย์ที่แห่งนี้เล็กมาก แต่สถานที่แห่งนี้มีจุดเด่นตรงเรื่องการมองวิว
เจดีย์แห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับเจดีย์มุเตา ดังนั้นเมื่อขึ้นมาแล้วก่อนเดินลงจะมีวิวให้มอง ซึ่งตอนแรกผมเกือบไม่ได้เห็นแล้ว เพราะทิศอื่นนั้นจะไม่ได้เห็นวิวที่สวย ดังนั้นหากมาแล้วมองให้รอบก่อนลง เพราะเราเสียค่ากล้องถ่ายรูปไปแล้ว หากคนชอบถ่ายรูปห้ามพลาด shot นี้เด็ดขาด

พระนอนนองดาวจี มย่ะตาเลียง
 Naung Daw Gyi Mya Tha Lyaung

ปัจจุบันพระนอนในพม่านั้นส่วนใหญ่จะมีการสร้างโดม หรือหลังคาคลุมองค์พระ แต่องค์พระแห่งนี้ยังไม่มีการสร้างคลุม ผมเห็นเสาเข็มขึ้นอยู่รอบๆ จึงคาดว่าอาจจะมีการสร้างหลังคาขึ้นแน่ๆ (เดานะครับ) หากใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปแล้วจะชอบให้ไม่มีการสร้างคลังคาคลุม เพราะจะทำให้เห็นถึงความอลังการมากกว่า
องค์พระแห่งนี้ใหญ่อลังการมาก หากวางแผนมาแนะนำให้มาช่วยบ่ายๆ อย่างมาเที่ยงเพราะอาจจะร้อนมากครับ

พระนอนชเวตาเลียง
Shwethalyaung Buddha

องค์พระนอนแห่งนี้จะอยู่ในใต้หลังคา ซึ่งมีชาวพม่ามาเคารพสักการะเป็นจำนวนมาก ด้านหน้าจะมีชาวพม่ามาขาย postcard  ด้วยดูรูปแล้วสวยงามมากแต่ถ้าจะซื้อควรต่อรองให้มาก เพราะเปิดราคามั่วมาก ลดราคาได้สุดขีดเลย บริเวณรอบๆมีอาหารของกินเล่นของฝากให้เลือกซื้อได้


จากข้อมูลที่ผมอ่านมาพระนอนแห่งนี้เป็นพระนอนที่มีเก่าแก่กว่าพระนอนตาหวานในย่างกุ้ง ด้วยความอลังการแล้วไม่แพ้องค์พระที่อยู่กลางแจ้ง ด้านหลังองค์พระสามารถเดินชมประวัติการสร้างด้วย มีความสวยงามมากครับ ไม่ควรพลาดเช่นกัน

พี่หม่องจะสื่ออะไรอ่ะ งง
เมื่อผมเดินกลับขึ้นรถพี่หม่องก็พูดว่าที่สุดท้ายแล้ว ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายห้าโมงเย็นแล้วผมกับเพื่อนก็รู้สึกเหนื่อยเพราะในการเดินทางนั้นในเมืองบาโกนั้น ถนนไม่ได้เรียบ ฝุ่นก็มาก นั่งไปก้นก็กระแทกต้องจับราวเหล็กดีๆ ก็นึกว่าพี่หม่องจะพาเรากลับที่พัก แต่แล้วพี่หม่องพาเที่ยวต่อ จึงคาดว่าคำว่าที่สุดท้ายของพี่หม่องไม่ได้หมายความว่าเที่ยวเป็นที่สุดท้าย

พระมหาเจดีย์
Maha Zedi Pagoda

เจดีย์แห่งนี้มาถึงพี่หม่องยกนิ้วโป้งบอกว่าเยี่ยมเลย มีรูปปั้นบุเรงนองให้เคารพด้วย เจดีย์นี้พี่หม่องพาเที่ยวเองเลย ในหนังสือท่องเที่ยวนี้ไม่ได้เขียนข้อมูลอะไรมากจึงเป็นสถานที่ที่ผมไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเห็นทางขึ้นไปด้านบนแล้ว ผมจึงถามว่าสามารถขึ้นไปได้ไหม พี่หม่องก็จัดการพาขึ้นเลย

หากใครกลัวความสูงแล้วอาจจะรอด้านล่างดีกว่า แม้ผมจะกลัวความสูงแต่ก็ขอขึ้นไปให้เห็นว่าด้านบนเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างทางขึ้นนั้นจะราวเหล็กตรงกลางให้จับ เจดีย์สามารถขึ้นได้สี่ทางดังนั้นเลือกด้านที่มีราวจับจะขึ้นได้ง่ายขึ้น

เมื่อขึ้นมาด้านบนวิวสวยมาก ผมถือว่ามาถึงบาโกไม่ควรพลาด มองวิวได้สวยงามมาก เวลานั้นประมาณบ่ายห้าโมงกว่าๆ พระอาทิตย์เริ่มตก แสงแดดเริ่มอ่อนกำลังลงทำให้เราสามารถอยู่ด้านบนได้นาน ชมวิวสวยงามถ่ายรูปเล่นกันได้ แต่บริเวณที่ถ่ายรูปนั้นค่อนข้างเสียวเพราะไม่มีที่กั้นเลย อาจจะตกลงไปด้านล่างได้ หากใครที่น้ำในหูไม่เท่ากัน ต้องระวังให้มากที่พระมหาเจดีย์แห่งนี้มี(มองจากรูปด้านขวามือ)ปราสาทอนันดาซึ่งคล้ายกับศิลปะในพุกาม (สอบถามจากพี่หม่อง แต่ไม่รู้พี่หม่องเข้าใจที่ผมถามรึเปล่า)

จุดชมวิวทำให้เราเห็นเจดีย์ในเมืองบาโกได้สี่ทิศ เรียกได้ว่าครบทั้งเมือง แต่ผมจำได้เฉพาะองค์พระนอนกลางแจ้ง ดูแล้วสวยงาม จุดประกายให้ไปเที่ยวพุกามเลย สวยงามจริง 

อากาศเริ่มเย็นลงฟ้าเริ่มมืด แต่ยังมีจุดท่องเที่ยวแห่งนี้ที่ผมอยากไป จึง request ขอให้พี่หม่องพาไปซึ่งเปิดหนังสือจิ้มเลยว่าพาไปให้หน่อยก่อนกลับที่พัก พี่หม่องจึงจัดให้เป็นที่สุดท้าย

เจดีย์ไจ๊ก์ปุ่น
Yaik Pun Pagoda

ระหว่างเดินทางฟ้าก็มืดลงทันที ในใจคิดว่าคงจะไม่ได้เห็นถึงความงดงามของเจดีย์แห่งนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้วรู้สึกได้ถึงความอลังการมากในยามค่ำคืน
จุดเด่นแห่งนี้คือองค์พระพุทธรูปที่สร้างโดยสี่สาวพี่น้องชาวมอญ จึงทำให้มีพระพุทธรูปสี่ด้านโดยมีองค์หนึ่งโดนฟ้าผ่าและได้มีการสร้างใหม่โดยองค์ใหม่จะมีดั้งจมูกโด่งกว่าองค์อื่นด้วย ผมก็สังเกตุได้ถึงความแตกต่าง แต่ต้องดูดีๆ ดูแทบไม่ออกเลย เมื่อชมเสร็จแล้วพี่หม่องก็พากลับที่พัก

ทิปของพี่หม่อง
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะโดนฟันเลือดอาบจากพี่หม่องจอนซึ่งหายหัวไปแล้ว แต่พี่หม่องเนเน่ยังอยู่กับเราตลอดการเดินทางพี่หม่องเนเน่น่ารัก service ดูแลเราอย่างดีพาเที่ยวโดยไม่บ่น (อาจจะบ่นแต่เราฟังไม่ออก) จึงให้ Tip พี่หม่องไป 1,000 จ๊าด พี่หม่องเนเน่เลยถามว่าจะไปกินเบียร์กันไหม แต่เราก็ตอบปฏิเสธไป เพราะเหนื่อยมากแล้วทั้งวัน

มื้อเย็นก่อนนอน
เนื่องจากตลอดการท่องเที่ยวช่วงบ่ายได้กินแต่น้ำ มื้อเย็นจึงต้องหาอะไรทานแถวที่พัก แถวที่พักข้างเปลี่ยวแต่ยังมีร้านอาหารหนึ่งร้านที่สามารถเดินไปทานได้ เป็นอาหารชาวพม่าจริงๆ
ก่อนจะสั่งอะไรผมมักสอบถามราคาก่อนเพื่อป้องกันปัญหาการโก่งราคา จึงถามว่าราคาจานละเท่าไหร่ พ่อค้าบอกว่า 1,000 จ๊าด แล้วลูกก็พูดต่อว่า 200 จ๊าด จึงสรุปว่าราคา 1,200 จ๊าดใช่หรือไม่ อาจจะเป็นค่า vat ต่างชาติแต่เราก็โอเคกับราคานี้ เพราะไม่มีร้านอาหารร้านอื่นให้กินอีกแล้ว
รสชาติอาหารท้องถิ่นสำหรับผมแล้วอร่อยทานได้ เริ่มปรับตัวได้ระหว่างทานมื้อนี้ ชาวพม่าลุ้นกันใหญ่ว่าพวกเราจะทานกันได้ไหม นั่งจ้องยืนจ้องกันตาไม่กระพริบเลย หลังจากทานเสร็จแล้วก็ไปชำระเงินกับคุณแม่ ตัวคุณแม่คิด 1,000 จ๊าด ส่วนคุณลูกมัวแต่เล่นรถ เลยไม่ได้เก็บค่า vat 200 จ๊าด จากนั้นก็กลับที่พักแล้วก็เข้านอนหลับสนิทเลย วันนี้ค่อนข้างเหนื่อยมาก



face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)