Myanmar & Ranong Trip - Day1 (รูปหาย)

ระหว่างการทำงานอยู่ กำลังนั่ง Get E-mail งาน ก็มีชมรมท่องเที่ยวส่ง E-mail เสนอทริปที่ไม่เคยได้คิดไว้ ซึ่งก็ได้ราคาพิเศษอีก ผมก็ไม่รอช้าชวนเพื่อนๆไป  ว่าแล้วก็จ่ายตังพร้อมกับเตรียมพร้อมไป

วันที่ 05 เมษายน 2555    เพื่อนผมรีบออกจากที่ทำงานมาที่บริษัทที่ผมทำเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ ในอาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์ที่หยุดยาว เลยทำให้รถบนถนนมากมายจนทำให้รถทัวร์มารับนั้น มาสายไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อรถทัวร์มาลูกทัวร์ก็พร้อมขึ้นรถ แต่กลับไม่มีชื่อผมและเพื่อน 4 คน ก็เลยทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็ลงเอย ได้นั่งตามที่นั่งที่จัดไว้

เมื่อขึ้นรถทัวร์ก็มีไกค์ที่ชื่อว่า คุณเก่ง ซึ่งเล่นเกมแจกหมวก (สุดท้ายก็แจกทุกคน) และก็ดูหนังเรื่อง In time และได้แวะปั้มทั้งหมดสามที่่

สำหรับรถทัวร์นี้ เป็นของบริษัท cola ทัวร์ครับ รู้สึกว่าเป็นแบบครบวงจรเลย







หลังจากนั่งรถมาตั้งแต่ สามทุ่ม ถึงเจ็ดโมงเช้า วันที่ 06 เมษายน 2555 

จากนั้นทางโรงแรมจันทร์สมธาราใจดีให้ check in ก่อน (ปกติที่อื่นจะให้ check in หลังเที่ยง) ทุกคนได้รับกุญแจห้องหมดทุกคน แต่กลับมีห้องผม+เพื่อน กับพี่(ผู้หญิง สองคน) เค้าแจ้งว่ายังจัดไม่เสร็จ (อ้าวมีปัญหาอีกแล้วหรอเนี้ย) สุดท้ายก็ไปใช้ห้องเดียวกันกับพี่ สี่คนหนึ่งห้องให้แปรงฟัง อาบน้ำ (จะทันมั้ย)

หลังจากอาบน้ำกันเสร็จแล้วก็ไปทานอาหารเช้ากัน

กับข้าวก็ทานได้ครับ เพราะผมเป็นคนทานง่าย แต่ข้าวผัดเค็มไปหน่อย ทานเสร็จแล้วก็ออกเดินทางเลย

รถออกเดินทางไปที่จุดหนึ่ง  แล้วไกด์ก็พูดว่า "ใครที่ยังไม่ได้ทำบอร์ดดิ่งพาส เดี่ยวจะพาไปทำครับ" แล้วก็มีคนตามลงไปบางส่วน เหลือลูกทัวร์อีกกว่าครึ่งนั่งบนรถ แล้วสักพักรถทัวร์ออกไปจอดอีกที่นึง  ซักพักแฟนพี่คนขับรถขึ้นมาดูแล้วก็ตกใจว่า ทำไมไม่ลงไป ลูกทัวร์ก็งง แฟนพี่คนขับรถบอกว่าทุกคนต้องลงไปตรงนั้นเพื่อไปพม่า

อ้าวแต่ไกด์บอกว่าคนที่จะลงไปทำบอร์ดดิ่งพาสเท่านั้นไม่ใช่ รึ

แล้วทางคนขับรถก็วุ่นกันใหญ่โทรหาไกด์ แล้วก็พาพวกเราไปส่งใหม่(เกือบไม่ได้ไปแล้ว)
ถึงแล้วครับ ท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ ซึ่งคิดในใจว่า ต่อไปนี้เราจะต้องตามไกด์ตลอดไม่งัี้นโดนทิ้งไม่รู้ตัวแน่ๆ
แล้วเราก็ไปต่อแถวขึ้นเรือหางยาวเพื่อข้ามไปพม่า ซึ่งก็ต้องแย่งคิวกันอีก เพราะว่ามันวุ่นวายมากจริงๆ
วิวระหว่างทางสวยงามดีครับ แต่เรือหางยาวแคบและนั่งนานเลยเมื่อย
โชคดีหน่อยเรือหางยาวแต่ละลำมีไกด์ไปด้วย โล่งใจหน่อย
นั่งไปสักพักก็มาถึง ตม. ล่ะ ซึ่งดูจากสถานที่แล้ว ไม่บอกไม่มีใครรู้เลยว่าคืออะไร
เมื่อเข้าใกล้พม่าแล้ว ก็พบเรือเต็มไปหมดเลย มีทั้งคนไทยไปเที่ยว คนพม่ากลับบ้าน
ดูจากมุมแล้ว ผมว่าประเทศพม่าก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะครับ เหมือนวานิชเวนิช เลย

หลังจากขึ้นเรือแล้วก็ต่อรถสองแถวไปชมสถานที่เที่ยว ซึ่งที่แรกเรียกว่า Victory point
มีอนุสาวรีย์บุเรนองตั้งอยู่ที่นั้น หน้าเข้มเลยทีเดียว ถ้าไปถึงที่นี่แล้วจะมีคนคอยเก็บตังค่ากล้องถ่ายรูปด้วย โดยทางไกด์ได้คุยกับชาวพม่าว่า กล้องละ 20 บาท คือ จ่าย 20 บาทถ่ายกี่รูปก็ได้ (แบบไม่ต้องแอบ แต่ถ้าไม่อยากจ่ายก็ต้องแอบ)

นี่ครับบัตรที่ได้รับให้ถ่าย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอ่านว่าอะไร แล้วเงินที่คนเก็บไป เข้ากระเป๋าหรือเข้ารัฐบาลหว่า




ภาพออกมาสีสดมาก แต่ตอนที่อยู่บริเวณนั้น ร้อนมากๆ ครับ แดดออกจ้าเลย
มีธงชาติพม่าด้วย ขอถ่ายมาให้ชมกัน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถสองแถวต่อเลย
เห็นมุมไหนสวยๆ ก็ขอติดรูปหน่อย เผื่อตัวเองจะดูดีขึ้นบ้าง
ขึ้นรถกันแล้วก็ออกเลย แต่ละคนเหงื่อออกกันทั้งนั้น
ที่พม่านี้ พวกมาลัยขวา แต่ขับชิดขวา เลยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ และรถมอเตอร์ไซด์ส่วนใหญ่จะชอบบีบแตร์กันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนไทยก็จะตกใจกัน

นั่งรถไปสักพักก็ไปที่ วัดปิตอเอ
เห็นครั้งแรกแล้ว รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้นมาทันที เพราะว่าไม่ได้ไปวัดมากนานมาก แม้แดดจากร้อน แต่พื้นที่วัดนี้กลับเย็นไม่ร้อนเดินได้สบายๆ เลยล่ะครับ ซึ่งคุยกับคนพม่าเค้าบอกว่ากระเบื้องนำมาจากประเทศจีน สถานที่นี้เค้าบอกว่าเป็นเจดีย์ชเวดากองจำลองครับ จำลองยังสวยงามเลย ถ้าของจริงล่ะ น่าจะงดงามมากกว่านี้
เพื่อนผมเดินล่วงหน้าไปก่อนเลย
ภายในเย็นมากเลย มีวัดประจำวันเกิดให้สักการะ ด้วย

บริเวณรอบๆ วัด
มีมุมนี้สวยงามดีครับ ทำให้เห็นเมืองพม่า และทะเลอันดามัน
จากนั้นไกด์พาเราไปแหล่ง shopping แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะว่ามีแค่สามร้านเอง แต่ได้ไปดูของก็สวยงามเช่นกัน
ระหว่างทางขากลับเดินไปที่ท่าเรือ เลยถ่ายรูปเพื่อน คิดในใจว่าเฮ้ย หน้าเพื่อนผมเหมือนคนพม่านะเนี้ย อยู่ที่นี้่เลยมั้ย

ก่อนกลับประเทศไทยขออีกซักภาพ

ช่วงนั่งเรือหางยาวกลับ รู้สึกว่านานมาก และเหมือนจะมีอาการปวดหัวด้วย กว่าจะถึงร้านอาหารก็เกือบบ่ายโมงแล้ว หิวมากๆ ขนมที่เตรียมมาก็กินจนหมดเลย

นี่ครับร้านอาหารสมบูรณ์โภชนา
ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เนื่องจากหิวมากๆ ร้านนี้น้ำพริกกุ้งเสียบรสชาติเด็ดมาก กินกันจนต้องขอเพิ่มเลยครับ

หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็เที่ยวต่อในจังหวัดระนอง โดยไปที่บ่อน้ำร้อนพรรั้ง


ที่นี้จะมีบ่อมากมาย แต่เวลาไม่ค่อยมี ว่าแล้วก็ต้องถลกกางเกงขายาวขึ้นแล้วก็จุ่มน้ำ บางจุดก็อุ่น บางจุดก็เย็น ที่นี้ไกด์บอกเราว่า ห้ามจุ่มนานเกิน 15 นาที เพราะว่ามีกำมะถันอยู่ แช่ซักพักฝนก็เริ่มตก เลยรีบขึ้นรถ

จุดต่อไปเป็นภูเขาหญ้า ทางไกด์ได้บอกว่าเป็นภูเขาสองสีที่มีสีเขียวและทอง(เหลือง) เพื่อนๆผมก็เริ่มง่วงนอนหลับกันหมด ผมเลยต้องลงไปคนเดียว

ผมรู้สึกชอบบริเวณนี้มาก มันทำให้รู้สึกอยู่กับธรรมชาติซะเหลือเกิน วิวสวยงามอากาศที่สดชื่น เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปสวนสักษะวารินทร์ ชมบ่อน้ำร้อน มี 3บ่อ(บ่อพ่อ บ่อแม่ บ่อลูกสาว)

เพื่อนๆ ตื่นกันแล้ว  ลงมาลุยกันต่อ

ที่นี้มีลำธารใหญ่ และสะพานไม้
ที่นี้น้ำร้อนกว่าที่พรรั้งมากครับ มีหลายบ่อให้แช่กัน ส่วนใหญ่แช่แต่เท้า
มีโซนเสียเงินด้วย แบบหรูหน่อย แต่คนไม่ค่อยไปใช้บริการกัน
ส่วนพวกไม่เสียตังก็ได้แช่ประมาณนี้ครับ บางคนก็เอาตัวลงไปแช่ก็มี ในขณะที่คนอื่นเอาเท้าแช่

จากนั้นก็ขึ้นไปวัดหาดส้มแป้น

เมื่อไหว้พระกันแล้วก็กลับไปที่สวนสักษะวารินทร์ จะมีร้านอาหารคุ้นลิ้น

ซึ่งอาหารก็คุ้นลิ้น เพราะว่าอาหารบางอย่างพึ่งกินเมื่อตอนกลางวัน

จากนั้นก็กลับที่พักซึ่งตอนแรกนึกว่าจะไปว่ายน้ำเล่นแต่แรงแทบไม่เหลือ อาบน้ำนอนเล่นซักพักก็หลับไปตั้งแต่สามทุ่มเลยครับ

ไปชมวันที่สองต่อกันเลย 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)