Singapore Trip with SCG ( Day 1/3)

แล้วผมก็ได้มีโอกาสออกนอกประเทศไทยเพื่อไปเที่ยวอีกรอบหลังจากที่เคยไปไต้หวันเมื่่อ 5 ปีที่แล้วคราวนี้ผมได้จองทัวร์กับทางบริษัทซึ่งเค้าจัดเตรียมไว้ให้ ราคา 14,900 บาท ผมแลกเงินไป 350 เหรียญ หรือ ประมาณ 8050 บาท ตลอดสามวันนี้มีเรื่อง + รูป เยอะมากเลย ของเขียนแค่วันแรกก่อน

วันที่ 1 | วันที่ 4 ธันวาคม 2553 
เครื่องบินออกตอน 11.30 แต่เค้านัดให้ไป 8 โมง ผมรีบตื่นพร้อมเดินทางจากบ้าน ไปบีทีเอสแล้วจาก บีทีเอสก็ไป airport link สัมภาระที่มีก็กระเป๋าสะพายหนัก สามกิโลกรัม ที่หนักก็เพราะมีขาตั้งกล้อง กล้องถ่ายรูป ร่ม passport หมวก เสื้อกันหนาว แว่นตากันแดด ปากกา กระดาษ (แบกอะไรไปเยอะแยะเนี้ย) นอกจากกระเป๋าสะพายแล้วยังมีกระเป๋าลากน้ำหนักกว่า 12 กิโลกรัม (เค้ากำหนดว่าห้ามเกิน 15 กิโลกรัม กลัวใช้สิทธิ์ไม่คุ้ม) แต่ที่หนักก็ไม่ใช่ เพราะว่าของใช้ของผมเดียวหรอกนะ มีของฝากที่ผมต้องแบกจากเมืองไทยให้คนที่สิงคโปร์ด้วย

ถ้าจะเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิโดยใช้ airport link ตอนนี้ราคาก็ไม่แพงเลย 15 บาทเอง จากพญาไทไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ (อีีกหน่อยจะคิดตามระยะทางซึ่งเท่าที่ดูมาก็ไม่เกิน 45 บาท[check ข้อมูลจริงอีกทีนะ] ) ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากๆ เลยแนะนำให้ใช้เส้นทางนี้ และถ้ามาจาก BTS ก็มีทางเชื่อมด้วย แม้ของจะหนักก็ลากได้สบายเลย ถึงสนามบิน 8.00 น. ผมก็ load ของขึ้นเครื่อง
 
ต่อด้วยไปกินอาหารก่อนขึ้นเครื่องราคานั้นแถมไม่ต่างกันเลย คือแพงทุกอย่าง ราคา up กันสุดฤทธิ์ ถ้าหากว่ามีเวลาพร้อม ก็กินก่อนเข้าก็น่าจะดีกว่า

เมื่อกินเสร็จ ก็เดินเล่นดูของในสนามบินแล้วก็ตรงไปขึ้นเครื่องเลย ผมเดินทางครั้งนี้ด้วยสายการบิน Air Asia

เครื่องบินที่ผมนั่งครับ

ผ่านงวงช้างด้วย

มุมมองผ่านหน้าต่าง


บรรยากาศบนเครื่องบิน

ข้างบนถ้าอยากทานอะไรก็ต้องซื้อนะครับ แต่ถ้าหากว่าแน่ใจว่าจะกินบนเครื่อง ก็จะมี book ทาง online ซึ่งจะลด 25 % แหนะ ของฝากก็มีขาย แต่ของที่อยากได้ไม่มีเลย

 อยู่ว่างๆ ก็เลยฟังเพลงผ่าน MyE63 ของผมครับ


ถึงแล้ว Changi airport ใช้เวลาไม่นานเลยในการตรวจคนเข้าเมือง แต่ใช้เวลารอเวลาหัวหน้าทัวร์ไทย นานกว่าอีก พวกเราออกจากสนามบินประมาณ 3 โมงกว่าๆ คิดแล้วก็แอบเศร้าว่า 1 วันของเราเดี๋ยวก็จะหมดลงแล้ว  ได้คุยกับไกด์ แล้วเค้าบอกว่าตามตารางอาจจะเที่ยวถึง 2-3 ทุ่ม ว่าแล้วก็เดินทางออกจากสนามบินเลย

ก่อนออก ก็ได้ถ่ายรูปตึกเก็บไว้ คาดว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ด้วย รอบๆ เมืองดูสะอาดดี รถไม่เยอะ มองไปตรงทะเลมีแต่เรือลำใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ไกด์เค้าชอบเน้นประโยคว่า "Clean and safe" ซึ่งดูแล้วก็น่าจะจริง เพราะว่าสะอาดมากๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวก็สามารถเที่ยวกันได้ถึงดึกเลย

จุดแรกที่พวกเราจะไปก็คือ merlion ซึ่งเป็น hilight ของที่นี้เลย ถ้าไม่ไปที่นั้นก็ถือว่าไปไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ก่อนที่จะถึงก็เห็นวิวสวยๆ ของเด่นๆ มาอีก ก็คือ Marina bay กับ Singapore flyer


แล้วก็เจอกับ ที่พัก Raffles hotel ด้วย แต่ผมไม่ได้พักที่นี้หรอกครับ ผ่านเฉยๆ

ถึงแล้ว น้อง merlion พระเอกของวันนี้

 ผมพบกล้อง Fuji S1600 ติดตัวตลอด trip นี้ แต่พอฝากพี่ๆ ถ่ายไง กลับไม่เห็นน้อง merlion เต็มตัวซะงั้น


ไปถ่ายอีกมุมนึง ใช้ขากล้องครับ จะได้ไม่ต้องไปพึงคนอื่น


ขอเดี่ยวบ้างเถอะ

ถ่ายกับ Marina bay โรงแรมสุดหรู พร้อมมี Casino ด้วย (เดี๋ยวจะมีแวะช่วง เย็นๆ ด้วย)

น้อง Merlion เดี่ยวละ คราวนี้

Mini merlion ก็มี อยู่ด้านหน้าด้วย


ซูมไปไกลๆ ก็เจอ Esplanade ด้วย แต่ไม่ได้แวะเข้าไป

หลังจากอยู่ถ่ายรูปอยู่ตรง Merliton ได้ 45 นาที ทั้งร้อนทั้งรีบ  แล้วก็รวมตัวกันขึ้นรถ แล้วเดินทางไป China Town ต่อ


วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) 
ดูภายนอกสวยมากๆ พอเข้าไปข้างในก็ยังเย็นมีแอร์ด้วย ควันธูปก็ไม่ค่อยมี

ภายในวัดมีสี่ชั้น มีลิฟท์ด้วย




หลังจากไหว้เพระเสร็จก็ออกเดินรอบ มีของขายเต็มเลย ตอนนั้นหิวมากเพราะว่าทัวร์ที่พามาไม่มีน้ำ หรือของกินให้เลย มีแต่จะให้ book ดู song of the sea กับ singapore flyer เสียตังทั้งนั้น การตลาดเก่งจริงๆ ทัวร์นี้ อดใจไม่ไว้เลยต้องซื้อของกินที่ Seven eleven 

ตรงแถวข้างๆ ก็มีวัดแขกด้วย

หลังจากซื้อขนมปังกับปลาทูน่าที่ seven eleven ขึ้นรถแล้วเค้าก็พาไปกินข้าวเลย(ซื้อมาเลยไม่ได้กิน เก็บกลับเมืองไทยเลย)

ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ แต่อาหารก็อร่อยดี(สำหรับผมนะ)


กินเสร็จ ก็ไป Fountain of wealth ต่อ เค้าจะให้ทุกคนเข้าไปเดินวนรอบน้ำพุ พร้อมเอามือไปสัมผัสน้ำ วนสามรอบ ก็จะประสบกับความร่ำรวย พอวนกันครบทุกคนก็พากลับ เลยยังไม่เป็นเค้าเปิดน้ำพุที่ไหลจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลย

จากนั้นพวกเราก็พาไป Marina bay ต่อ เค้าบอกว่าพวกเราโชคดีมาก เพราะว่าคนต่างชาติเข้า casino ไม่ต้องเสียค่าเข้า ผมได้มีโอกาสเข้าไปแต่ไม่ได้เล่นอะไรเลย

ภายในนั้นก็มีร้านค้า brand name มากมายแต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายสำหรับผมที่จะซื้อ ก็เลยเดินเล่น ถ่ายรูปเล่นซะมากกว่า

จากนั้นก็เดินทางกลับที่พัก ผมพักที่ Royal hotel ซึ่งใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดิน Lovena ตอนแรกคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ เพราะว่าเวลานั้น 9.30 PM ซึ่งตามแผนคิดว่าจะไปที่ Clarke Quay แต่ว่ากว่าจะเก็บของเตรียมพร้อม ก็ถึง 4 ทุ่มครึ่งแล้ว เลยยกเลิกแผนแล้วเดินไปหาของกินเล่น ซึ่งก็ไปที่เดิม คือ Seven Eleven 


หลังจากซื้อเสร็จ ก็กลับไปกินที่โรงแรม
ก็ไม่พ้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อีกตามเคย



ภาพในห้องนอนครับ แล้วก็เข้านอนเวลาประมาณ 12.00 น.

ไว้ต่อกับวันที่สองที่ Universal นะครับ
face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)