Chill at Chumporn 2/2 - สบายเรื่อยเปื่อยที่ชุมพร


วันที่ 3 พฤษภาคม 2557 ผมตื่นแต่เช้าพร้อมพกกล้องที่ซุกไว้ในกระเป๋าเพื่อป้องกันกล้องหนาวครับ เลนส์จะได้ไม่มัว เดินไปพร้อมกับอารมณ์ที่ว่าเราจะต้องจากที่นี้แล้วคงจะไม่ได้กลับมาอีกแน่ (เพราะไม่ค่อยได้เที่ยวที่ซ้ำๆ) เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆ บริสุทธิ์ เวลาค่อยๆผ่านไปช้าๆ และค่อยๆเห็นอาทิตย์ขึ้น พร้อมทั้งมีลิง หมาเป็นเพื่อนยามเช้า Happy สุดๆ

พิเศษครับ ทำ Clip ให้ดูบรรยากาศที่พัก


หลังจากถ่ายรูปอยู่นานท้องเริ่มหิวก็กลับมาที่ห้องพัก เรียกเพื่อนๆ พี่ๆ เตรียมออกมากินข้าวเช้ากัน ยังจำได้ไหมว่าเมื่อวานเราตุนอะไรไว้ หมูทอด ไก่ทอด ตับ ตีนทั้งหลายเมื่อวานยังร้อนๆ น่ากินมากๆ แต่พอมาวันนี้ของทอดเย็นชืด ทำร้อนก็ไม่ได้เพราะว่าไม่มีอุปกรณ์ กินไปก็บ่นไปครับ ว่าไม่น่าซื้อมาเลย สุดท้ายข้าวเหนียวมะม่วงกลับกลายเป็นที่ต้องการเพราะว่าสามารถทานได้และรสชาติไม่เปลี่ยนไปมาก

หลังจากทานอิ่มแล้วก็เริ่มออกเดินทางไปเที่ยวที่อุทยานอีกครั้งเพื่อถ่ายรูป บรรยากาศยามเช้าและยามเย็นนั้นแตกต่างกันครับ ตอนเช้าแดดเริ่มออก ถ่ายรูปสวย แต่ร้อนสุดๆ เลย
ที่บริเวณนี้จะมีศูนย์การเรียนรู้ด้วย แต่ไม่เรียนรู้เลยครับ มัวแต่ถ่ายรูปเป็นส่วนใหญ่ ด้านข้างในจะมีภาพว่าสถานที่เที่ยวที่ชุมพรมีอะไรที่น่าชมบ้าง ซึ่งไปแต่ไม่เห็นเลยต้องถ่ายรูปมาแทนครับ รูปล่างที่สองนับจากซ้ายมือเป็นเกาะฝ่ามือพระพุทธเจ้ารูปด้านล่างครับ ซึ่งอยู่ทีเ่กาะง่ามใหญ่ และก็มีกระดูกของพยูนให้ชมด้วย ผมกับเพื่อนๆเดินกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ความเป็นธรรมชาติทำให้เรารู้สึกเพลินเพราะอากาศที่นี้บริสุทธิ์มากๆ จากนั้นก็ขึ้นรถตู้ อำลาอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะชุมพร

ขอแถมรูปให้อีกรูปครับ

แต่เดี๋ยวยังไม่จบนะเรายังพักกันที่ชุมพรอีกหนึ่งคืน ดังนั้นวันนี้เราแค่จะย้ายที่พักซึ่งระหว่างทางก็ได้แวะ ศาลกรมหลวงชุมพรฯเพื่อเสริมความสิริมงคลกันหน่อยครับ มาถึงที่นี้วิวติดทะเลครับ เดินลงจากรถตู้ร้อนมากๆ รีบขึ้นไปไหว้ และถ่ายรูป

บริเวณแห่งนี้จะสร้างเป็นรูปเรือนะครับ หากใครสักการะแต่ด้านบนอาจจะไม่เห็นว่าจุดที่ยืนอยู่เป็นทรงเรือลองเดินลงมาชมรอบๆ นะครับ

จากนั้นเราก็เดินทางลงใต้ไปอีกเพื่อไปบ้านพักครับ ที่พักที่เราจะไปนี้มีเตรียมอาหารกลางวันให้ด้วยดังนั้นต้องรีบไปก่อนที่จะหิวแล้วปอบลงระหว่างทาง

ระหว่างทางเราเห็นร้านขายผ้าบาติกก็เลยแวะครับ ลงไปดูผ้าบาติกแต่ได้ปลาหมึกกลับมาครับ เพราะว่าหน้าบ้านเค้ามีขายปลาหมึกซึ่งราคาก็ไม่แพงก็เลยอุดหนุนกับป้าแกหน่อย ด้วยความที่เป็นชาวบ้านเวลาได้คุยหรือได้ซื้อของเราจะรู้สึกว่าแกน่ารักดี ดูจริงใจครับ แล้วก็ยังต่อรองราคาได้อีก(นี่แหละที่ชอบ)

ยังจำได้เลยว่าตั้งแต่ตอนอยู่ศาลกรมหลวงร้อนมากทุกคนอยากกินอะไรเย็นๆก็เลยหาร้านอะไรก็ได้ที่มีน้ำเย็น หรือไอศรีม ระหว่างทางเจอปั้มก็เลยแวะทันทีเป็นร้านนกแก้วครับ สั่งแบบไม่ดูราคาเลย

จากนั้นก็นั่งกินอย่างสบายใจจนหายเหนื่อยก็ไปต่อ รู้เลยว่าหากพวกเราทำงานในที่ร้อนๆเนี้ยทรมานมากๆเลย อากาศสมัยนี้ร้อนจริงๆ นั่งไปเรื่อยๆ จนถึง Home stay

ด้วยความที่เป็นคนรักสบายและไม่ค่อยชอบความลำบากอย่างผมแล้วคิดว่าคงจะอยู่ยากหน่อย แต่พอลงไปถึงเห็นหน้าบ้านเป็นบ้านไม้ ใจเริ่มแป้วล่ะ จะอยู่ได้ไหม แล้วจะนอนได้หรอแอร์ก็ไม่มีเนี้ย
แต่พอเดินเข้าไปแล้วที่พักลึกมากครับ เป็นบ้านที่ลึกที่สุดเท่าที่เคยเจอมามีทั้ง โซนบ้านไม้ ปูน แปลกดีแฮะ จากนั้นทุกคนนั่งลงหาที่เย็นๆ ความพิเศษของที่นี้คือบ้านจะยื่นไปที่ทะเลดังนั้นกลางวันลมทะเลเย็นมากๆครับ ไม่รู้สึกร้อนเลย พี่ที่เป็นเจ้าของที่นี่ชื่อ พี่กุ๊กไก่ ผมของเรียกชื่อพี่เค้าละกัน พี่เค้าบอกว่าที่บ้านนี้มีสองกลุ่มแล้ว เดี๋ยวทานข้าวเสร็จจะพาไปดูบ้านอีกหลังนึงดู ถ้าชอบก็ย้ายไปอยู่บ้านนั้นได้จะได้ไม่ต้องพักแบบสบายๆ คนไม่เยอะมาก

ก่อนทำอะไรกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องครับ ป้าที่บ้านทำอาหารง่ายๆเสริฟกันแบบว่าอยากเบิ้ลอะไรก็เบิ้ลได้ครับ
ที่พักติดทะเลดังนั้นก็ต้องมีของทะเล มื้อนี้เป็นปลามึกครับ แต่ของเค้าไม่แกะหนังเลย ต้มแบบ Original เลยยัดหมูด้วย อร่อยดีครับ ส่วนใข่ก็มีมะเขือด้วย ส่วนน้ำจิ้มทอดมันหวานไปหน่อย แต่ก็กินตามสูตรคนใต้อร่อยอีกแบบ  จากนั้นอิ่มแล้วก็ต้องพักใช่ไหม  เราก็หยิบหมอนคนละใบนอนกันก้นโด่งเลย อากาศริมทะเล ลมเย็นๆ พื้นไม้ทำให้เราขี้เกียจทำทุกอย่างเลย

กิจกรรมช่วงนั้นคือฟรี อิสระซึ่งตอนนั้นผมติด Cookie Run ก็วิ่งไปเรื่อยๆ สักพักพี่คนนึงก็บอกว่าเอ้ยมี Wifi ฟรีด้วย ก็เลยเปิดดู เทยเที่ยวไทย ฮาไปตามเรื่อง แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีป้าคนนึงหิ้วตะกร้ามา
พร้อมกับเปิดออกมาพร้อมกับข้าวเหนียวมะม่วง คิดว่าป้าคนนี้ขายได้มั้ย เสร็จเลยของคาวแล้วยังขาดของหวานจัดเต็มอีกทีนึง นั่งไปเรื่อยๆ ประมาณชั่วโมงกว่าๆ พี่กุ๊กไก่เรียกพวกเราให้ไปดูบ้านลุงอีกหลังนึงซึ่งเป็น Homestay ซึ่งบ้านเค้ายังไม่มีคนพัก แต่ถ้าจะกินข้าวต้องมาที่บ้านพี่กุ๊กไก่ แต่ด้วยความที่พวกเราเริ่มชินกับที่นี่แถมผมยังเห็นห้องน้ำที่นี้ใหญ่โต สะอาดผมก็เลยแอบเลือกที่นี้ในใจไปแล้ว แต่เพื่อความเป็นส่วนรวมต้องช่วยกันตัดสินใจเลยไปเยี่มบ้านลุงครับ

เรานั่งรถไปบ้านลุงซึ่งเมื่อเดินเข้าไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเป็นบ้านจริงๆครับ 
ถ้าหากเราเลือกที่นี่เราก็จะได้ความเป็นส่วนตัวเพราะว่าไม่ต้องไปปนกับคนอื่นเลย พวกเราเดินดูห้องนอนห้องน้ำ แล้วก็กลับไปที่เดิมครับ จากข้อมูลแล้วบ้านลุงจะเล็กหน่อย ลมผ่านน้อยเพราะว่ามีบ้านหลังอื่นกั้นลม ห้องน้ำก็เล็กกว่า พวกเราก็เลยตกลงปลงใจอยู่ที่เดิม ซึ่งบ้านหลังที่เราพักคือ "โฮมสเตย์บ้านลุงน้อย ท้องตมใหญ่ ชุมพร"

เราเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก็จะมื้อเย็น ถ้าจะให้นอนอยู่เฉยๆ ก็จะเซ็งกันก็เลยถามพี่กุ๊กไก่ว่ามีที่เที่ยวที่ไหนใกล้ๆบ้าง เค้าก็เลยแนะนำ ศาลกรมหลวง และสวนนายดำ ซึ่งเราก็มัวแต่นั่งคุยไปมา จนพี่กุ๊กไก่เดินมาไล่ว่าถ้าไม่รีบไปจะกลับมาไม่ทันนะ เราก็เลยต้องรีบออกครับ ขับรถวิ่งเลาะทะเลไปเรื่อย

เจอศาลอยู่ด้านบนกับทางลาดชันครับ ซึ่งตอนแรกเกือบขับเลย แล้วพี่คนรถตู้ก็เหยียบเกียร์หนึ่งขึ้นไปบนเส้นทางที่ชัดมาก คาดว่าเยอะกว่า 45 องศา ซึ่งตอนขึ้นไปนั้นเสียงดังมาก สิ่งที่ผมกลัวคือกลัวมันจะแรงไม่พอไหลลงมาครับ
เมื่อขึ้นมาแล้วก็พบกับวิวที่สวยงามครับ แต่ร้อนมากๆแม้จะบ่ายสามแต่แดดก็แรง โชคดีหน่อยมีลมมาเรื่อยๆ เลยทำให้สบายตัวขึ้นหน่อย พวกเราถ่ายรูปรอบๆ แล้วก็เข้าไปไว้สักการะ ซึ่งที่นี่จะค่อนข้างสงบคนยังมาไม่มากครับ
ขอโชว์ภาพดูรายละเอียดภายในกรมหลวงครับ ก่อนจะไปดูวิวรอบๆ ต้องขอบอกว่าถ้ามาตอนเย็นกว่านี้อากาศดีๆ ไม่มีกิจกรรมแล้ว อยู่เพลินกันเลย สวยงามสงบมากจริงๆ
อ้วนชื่อผู้ขับรถตู้ที่พาเรามาเที่ยวช่วงนี้ก็กลายเป็นตากล้องจำเป็น พวกเราก็เลยสามารถถ่ายรวมกันได้แบบไม่ต้องตั้งกล้องครับ มุมที่ถ่ายมาสวยดี จากนั้นเมื่ออากาศร้อนภาวะขาดน้ำก็จะมีขึ้นอีก ที่นี่มีร้านน้ำร้านเดียวซึ่งก็ผูกขาดเลย เราก็เลยซื้อน้ำซึ่งพวกเรากอยากกินน้ำอัดลมเพราะว่าสดชื่นดี แต่ไม่ใช่ยี่ห้อทั่วๆไปนะ เป็นยี่ห้อใหม่สีแปลกๆ ซึ่งก็มีสีฟ้าด้วย ทั้งเปริ้ยวทั้งซ๋าไม่ใช่แนวผม แต่เพื่อนๆ บางคนโปรดปรานจนต้องเบิ้ลเลย

แล้วเราก็ขับรถไปต่อที่ "สวนนายดำ" ซึ่งต้องออกถนนเอเชียไป ขับไปค่อนข้างใช้เวลา แต่ไหนๆมาเที่ยวแล้วก็ต้องไปให้ถึง

เดินเข้ามาแล้วเข้าใจว่าเป็นสวนธรรมดา แต่ที่นี้เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ส้วมเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามีห้องน้ำแปลกๆ แนวๆ เยอะมากซึ่งสามารถใช้งานได้จริงด้วย แถมไม่เก็บเงินค่าชมด้วย มีห้องน้ำลูกหมู ห้องน้ำอวตาล ห้องน้ำอวกาศ ห้องน้ำบ้านไม้ เยอะแยะมากๆมาย อยาก Check in (ถ่ายหนัก) ห้องไหนเชิญเลย แถมที่นี้ยังสะอาดด้วยครับ ว่าแล้วสมาชิกคนในทริป ก็ Check in สองคน คงจะมีอะไรไปกระตุ้นลำไส้แน่ๆ
จุดนึงที่ต้องถ่ายรูปมาคือ ส้วมยักษ์ซึ่งเราต้องปีนมาจากด้านล่างขึ้นมาแล้วจะเหมือนว่าเราออกมาจากโถส้วม เมื่อถ่ายรูปบ้าบอตามภาษาคนบ้ากล้องแล้ว ก็จะมีผลไม้ของฝากแบบบ้านด้วย มีน้ำเก๊กฮวย นมข้าวโพด ชามะลิ มะละกอ สมุนไพร่ เยอะมากๆครับ แต่เราก็ซื้อน้ำกับมะละกอกลับที่พักครับ

จากนั้นก็นั่งรถกลับบ้านลุงน้อยที่พักครับซึ่งก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เค้านัดกินข้าวหกโมง เราก็กลับมาหกโมงครึ่ง ครัวก็ยังไม่ปิดคงจะรอพวกเราอยู่ครับ อาหารมื้อเย็นจัดเต็มอีกแล้วครับ ป้าที่นี้ตั้งใจทำกันจริงจัง
น้ำพริกอร่อยมากมายเข้มข้นจริงๆ ช่วงนี้มะนาวแพงก็เลยใช้ส้มจี๊ดแทน จากรูปด้านซ้ายล่างจะเห็นคนนั่งเต็มเลย ซึ่งตรงนั้นเราเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นห้องนอนของเราครับ แต่ตอนนี้เป็นที่กินข้าวไปก่อน ตอนแรกเราจะเลือกอีกที่นึงแต่โดนคนอื่นเลือกไปแล้วเพราะคนอื่นมาก่อนพวกเรา แต่จุดตรงนี้ก็ดีตรงที่มันโล่งสองทิศทางคือลมเข้าได้สองทางครับ แต่พอตอนเย็นลมไม่มีเลย ยุงเลยมาแทน และเรายังได้ห้องส่วนตัวอีกห้องแต่ดูแล้วลมไม่ค่อยมีดูอบๆมาก เลยมีมติว่าจะขอมานอนข้างนอกดีกว่า

คนกว่ายี่สิบคน กับห้องน้ำห้องเล็ก 4 ห้องห้องใหญ่ 1 ห้องซึ่งผมเล็งว่าจะใช้ห้องน้ำใหญ่อาบน้ำ พอคิดดูแล้วก็เหนื่อยหากเราต้องไปแย่งกันกว่า 20 คน แต่ความโชคดีอยู่ที่ว่าสองกลุ่มนั้นไปตกหมึก ก็เลยเหลือแต่เรา 7 +1(คนขับ) ครอบครองห้องน้ำ เราก็เลยทยอยไปอาบน้ำกันอย่างสบายใจ

กิจกรรมต่อไปคือกางมุ้งนั้นเองด้วยความเป็นคนกรุงเกิดมาเล็กๆ เคยนอนมุ้งสมัยเด็กๆจนจำความไม่ได้แล้วจะได้มานอนในมุ้งก็ตื่นเต้นซิครับ พี่กุ๊กไก่ก็มาดูพวกเราแต่แกไม่ช่วย แกบอกว่าให้เราหัดซึ่งเค้าก็คงจะตลกคนกรุงที่ไม่เคยทำนั้นแหละทำอะไรเปิ่นๆ ออกมาเยอะเหมือนกัน จนในที่สุดก็กางเองได้
กางแล้วก็ต้องถ่ายรูป Post กันตามเคย จากนั้นก็เริ่มเข้านอน ซึ่งพอตอนนอนลมเริ่มมาอากาศค่อนเย็น ยุงก็น้อยลงครับ คืนนี้ผมตื่นบ่อยเพราะว่าหนาวหัวครับ ลมตีเข้าที่หัวเต็มๆ เลย

วันที่ 3 พฤษภาคม 2557  วันแห่งการจากลาเว่อร์ไปไหม คือต้องกลับเข้ากรุงแล้วไง ทำไมเวลาเที่ยวถึงเร็วขนาดนี้น่ะ ผมตื่นเช้าแล้วก็พบว่าคนอื่นก็ยังหลับไหลอยู่ ด้วยนิสัยบ้ากล้องก็เลยหยิบกล้องมาถ่ายอีกตามเคย
ภาพที่ผมเห็นสวยงามมากครับ ตอนเช้าอากาศดีวิวสวยงามมากๆ ผมเดินออกจากบ้านไปเพื่อไปหาด เพราะว่าเมื่อวานมัวแต่เล่น Cookie Run ก็เลยไม่ได้ไปดู เดินออกจากบ้านแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจนสุดก็จะเจอ

บ้านท้องตมใหญ่ ที่นี้จะมีม้าน้ำเป็นสัญลักษณ์ครับ และก็มีโอ่งหรือไหสีทองอยู่กลางหินด้วย ด้านซ้ายมือจะมีทางเดิน ซึ่งผมก็เดินไปเรื่อยๆ ตอนนั้นไม่รู้ว่าผมมึนรึเปล่า เดินไปสักพักก็ไม่เห็นทางเดิน ก็เลยไต่หิน



หลังจากเดินเที่ยวหาดคนเดียวอยู่นานสูดอากาศธรรมชาติ แสงแดดอ่อน(อ่อนจนเหงื่อไหล) แล้วผมก็เดินกลับ ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่าจะต้องไต่หินกลับ แต่พอเดินกลับกลับกลายเป็นมีทางเดินซะงั้นน่ะ ผมมองกลับไปก็เห็นมีทางเดินอยู่แล้วนะ ทำไมตอนแรกผมถึงต้องไปไต่หิน งงกับตัวเองมากๆ

เมื่อเดินกลับมาก็เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ เดินมาที่ท่าเรือที่มีเรือประมงเข้ามาพร้อมกับเหล่าปลาหลากหลายพันธ์ุและปลาหมึก ซึ่งจุดมุ่งหมายของเราก็คือปลาหมึก
พวกเรายืนคอยาวกันอยู่นานครับ จนได้ไปถามต๋งคนเรือบอกว่าจะขอแบ่งซื้อปลาหมึกได้ไหม ซึ่งเค้าก็ยินดีครับนำถุงมาให้ใส่ เราก็หยิบไปประมาณสี่ตัว แล้วก็กะว่าจะเค้าชั่งน้ำหนัก แต่เค้าลูกน้องพี่เค้าก็เล่นหยิบปลาหมึกมาใส่ให้อีก 5-6 ตัวซึ่งตัวใหญๆทั้งนั้นเลย แล้วอยู่ๆเค้าก็บอกว่าเอาไปเลย พี่กับผมก็ งงว่าเอ้ย เรามาขอแบ่งซื้อนะ นอกจากจะเลือกแล้วเค้ายังแถมให้อีกแล้วไม่เก็บตังทำงี้ได้ไงเนี้ย แต่พี่ๆเค้าก็ยืนยันไม่เอาเงินครับ เราก็เลยแจกยิ้มสวยๆ พร้อมกล่าวคำขอบคุณ

เพื่อนๆผมเดินไปหาดเพราะว่ายังไม่ได้ไป ส่วนผมแบกปลาหมึกกลับไปเก็บที่พักแล้วก็เดินไปที่หาดอีกครั้ง แม้จะพึ่งไปมาแต่พอไปอีกก็ยังสวยงามครับ กลับไปที่หาดอีกครั้งก็พระอาทิตย์ขึ้นแล้วได้วิวใหม่ๆ
หลังจากเดินเล่นอยู่นานๆ ดื่มดำกับไอเค็มของทะเล และความสงบแล้วก็เดินกลับครับ
อีกมุมที่พบได้ควรต้องถ่ายรูป(คิดเองนะ) เลยไปถ่ายเล่นกันก่อนกลับครับ ระหว่างทางพวกเราเดินกลับจากถ่ายรูปเล่นตรงท่าเรือเห็นเรือจับปูเข้ามา พี่ๆ เค้าก็มองใหญ่เลยเพราะว่ามาถึงยังไม่ได้กินปูเลย แต่แล้วหัวหน้ากลุ่ม(พี่ๆในกลุ่ม)ได้สอบถามกับพี่ประมงบ้านนั้น ก็พบว่าเค้าขายครับ

ทายซะครับ ว่าปูตัวเล็ก 1.2 โล กับปูตัวใหญ่ 1.9 โล กี่บาท . . . . . ตอบ 490 บาท ซึ่งแต่ละคนพูดกันว่าราคาถูกมาก แต่ผมด้วยความที่ไม่ได้เป็นคนชอบกินอาหารทะเลก็เลยไม่ค่อยรู้ราคา แต่ก็คิดว่าไม่แพง เพราะว่าเยอะมากๆ

หลังจากกลับมาที่พักแล้วก็เริ่มกินอาหารเช้ากัน มื้อนี้เป็นข้าวต้มปลาครับ

ปลาชิ้นใหญ่มาก แต่ผมถ่ายออกมาไม่เห็นซะงั้น จุดเด่นที่นี้คือใส่ส้มจี๊ดด้วย ซึ่งผมก็ต้องปรุงตามสูตรเค้าครับ และที่สำคัญมีพริกสดให้อีกด้วย อร่อยจริงๆ ส่วนซีอิ้วน้ำปลาไม่ต้องใส่เยอะ ป้าเค้ามือไม่เบา รสเด็ดอยู่แล้ว จากนั้นคนที่มาพักอีกสองกลุ่มก็เตรียมตัวขึ้นเรือไปดำน้ำ ซึ่งที่นี่พี่กุ๊กไก่เป็นคนพาไปเอง ทั้งดำน้ำและสร้างบ้านให้ปลาด้วยไม้ไผ่ด้วยครับ คือว่าไปดูปลา แล้วยังอนุรักษ์ธรรมชาติอีกด้วย

ส่วนพวกผมดำน้ำมาสองวันแล้ววันนี้พักบ้างอะไรบ้างดีกว่า ซึ่งผมพึ่งรู้ตอนหลังว่าไปดำน้ำนั้นพี่กุ๊กไก่เค้าไม่คิดตังเพิ่มด้วยนะ(ฟรี) แหมทั้งหล่อ และใจดีจริงๆ เลย จากนั้นผมก็ไปส่งคนขึ้นเรือไปดำน้ำ แล้วห้องพักทั้งหมดก็เหลือแต่พวกเราแล้ว จะทำอะไรก็อิสระเลย

ยังจำปลาหมึกกับปูที่ได้มามั้ยครับ พวกเราก็ช่วยกันทำกันปลาหมึก เราแบ่งส่วนนึงทำปลาหมึกทอดกระเทียม และอีกส่วนนำไปปิ้ง ส่วนปูนั้นนึ่ง(ป้าเค้านำไปต้มให้เลย)กินกับน้ำจิ้มรสเด็ดครับ
เริ่มแรกเลยเราหมักปลาหมึกก่อนครับ แล้วพี่คนที่ทำน้ำจิ้มรสเด็ดก็เข้าครัวตำเองกับมือเลยตำจนป้าบ่นเลย เพราะว่าพวกเรายุ่งวุ่นวายมาก(ฮา) แล้วจากนั้นก็ปลอกแตงโมแช่ไว้น้ำตู้เย็นด้วย

ส่วนพี่ผู้ชายก็ทำหน้าที่จุดเตาซึ่งลุงก็มาช่วยด้วย เพราะว่ากรรมวิธีการจุดไฟแตกต่างกั่นช่วยกันจนจุดติดครับ ส่วนป้า(พี่ในกลุ่ม)อีกท่านก็จุดเตาทำปลาหมึกทอดกระเทียม แล้วป้าที่บ้านพักก็แอบมาช่วยปรุงด้วย ป้าบอกว่าต้องจัดเต็ม รสชาติต้องเด็ดถึงจะกินแล้วฟิน

หลังจากทุกอย่างเสร็จแล้วก็ยกเตาไปที่ระเบียงบ้านชมทะเลไป ปิ้งปลาหมึก กินปูนึงกับน้ำจิ้มรสเด็ด และตามด้วยปลาหมึกทอดกระเทียม มื้อนี้ถือว่าเป็น brunch รึเปล่าไม่รู้แต่กินกันจนอิ่มมาก
กินกันจนเริ่มเกี่ยงกันกินเลย ปูหมด ปลาหมึกปิ้งหมด เหลือปลาหมึกทอดกระเทียมแล้วเราก็เก็บไว้กินมื้อเที่ยง (ตอนนั้นกินเสร็จสิบโมงเอง) คือกินอาหารเช้าแล้วก็ต่อปูกับปลาหมึกเลย ท้องไม่ได้พักเลย

กินเสร็จแล้วเก็บของแล้วก็ทยอยกันอาบน้ำก่อนที่คนกลุ่มอื่นจะกลับมาจากดำน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วเก็บของเรียบร้อย แล้วก็ถึงมื้อเที่ยงอีกแล้ว (ปูกับปลาหมึกตะกี้ยังอยู่ที่คอ เลย) แต่ป้าอุตสาห์ทำแกงส้มตามที่เรา Request แล้วจะไม่กินก็กลัวแกจะเสียใจก็เลยกินครับ
สุดท้ายก็กินจนหมด จากนั้นผมก็เตรียมกลับบ้านออกจากที่บ้านพักลุงน้อยตอน 1.30 น. เพื่อกลับกรุงเทพครับ แล้วก็กลับแบบนั่งรถยาวกว่าจะถึงกทม ก็สามทุ่มกว่าๆ (แบบแวะระหว่างทางบ่อยนะครับ ซื้อของกิน เข้าห้องน้ำ อะไรบ้างตามประสา)

สรุปค่าเสียหาย

ตกคนละ 5,700 บาท สำหรับผมแล้วถือว่าไม่แพงนะครับ ทั้งกิน ทั้งเที่ยว ตามใจเราเลยครับ


ก่อนกลับเลยขอถ่ายรูปกับพี่กุ๊กไก่ครับ คนที่สามจากด้านซ้ายมือครับ บึกๆ เข้มหน่อยครับ หากใครต้องการไปเที่ยวแบบสัมผัสความเป็นคนท้องที่ก็ลองมาที่นี้ครับ ไม่ลำบากมาก สนุก เฮฮา กิจกรรมน่าสนใจมากๆครับ ป้ากับลุงคงจะจำกลุ่มผมได้แน่ๆเลย เพราะว่าเรื่องเยอะมาตลอด

http://www.tongtomyai.com/newweb/homestay.html

โปรโมทที่เที่ยวหน่อยครับ อุดหนุนได้นะครับไม่แพงด้วยแถมยังได้ความสุข และประสบการณ์ดีๆกลับมาด้วยสุดยอดเลย

จากนี้ก็ขอจบทริป สบายเรื่อยเปื่อยที่ชุมพร
กับ face2cu


อยากกลับไปอ่าน Part 1






Special Clip ภายในบ้านลุงน้อยครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)