Jeju do trip - 2/3 - เที่ยวเกาะเชจูซึมซับวัฒนธรรมเกาหลีกัน - with Happy mail travel


วันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 ผมตื่นขึ้นมาตอนหกโมง ซึ่งจริงๆแล้วยังไม่ถึงเวลาด้วย(ทัวร์นัดให้ตื่น 7 โมง) อากาศภายในห้องไม่หนาวเลยมี heater เลยอุ่นสบายจริงๆ  แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็กะว่าลงไปกินข้าวตอน 7 โมง แต่ปรากฏว่าห้องอาหารตอนเช้ายังไม่เปิดครับ เค้าเปิด  8 โมง เพราะว่าทัวร์คงไปบอกให้เค้าเปิดสายนะครับ ผมกับคุณพ่อเลยออกไปเดินเล่นรอบโรงแรม ระหว่างที่รอให้ห้องอาหารเปิด
จะบอกว่าอากาศหนาวมากครับ มือชา หูชาไปหมดเลยครับ ระหว่างทางเดินจะเห็นร้านค้าต่างๆขึ้นป้ายภาษาเกาหลี แล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความพิเศษมากๆครับ ที่นี้่ร้านค้าที่คล้ายๆ seven eleven บ้านเราแต่ที่นี้จะเป็นชื่อ GS25 ซึ่งเป็นร้านของเกาหลีโดยตรง เดินเข้าไป เห็นของน่าซื้อครับ แต่เงินอยู่กับคุณแม่เลยได้แต่ดูครับ เมื่อเดินไปซักพักก็ถึงเวลา 8โมงแล้วก็กลับมาที่ห้องอาหาร ซึ่งเมื่อเห็นอาหารแล้วก็ตักเอา ตักเอา เพราะอาหารน่ากินมากๆ
แม้จะตักเยอะแต่ก็กินจนหมดครับ ที่ประทับใจคือ มีกิมจิ สาหร่าย เกี้ยวซ่า กินแป๊บเดียวหมดครับ จากนั้นก็รีบแวะที่ห้อง จัดการความพร้อมแพ็คเป้กระเป๋าเพื่อเตรียมเที่ยวต่อครับ เมื่อลงมาเจอเจ้าหลานยืนแว้นอยู่ตรงหน้าโรงแรมกินหมูฝอยที่หัวหน้าทัวร์นำมาแจกครับ เมื่อคนครบก็ขึ้นรถเตรียมเดินทางกันต่อ
นั่งรถประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่เที่ยวคือ น้ำตกชอนจียอน เมื่อลงมาถึงที่นี่ไกด์บอกว่าให้ซื้อปลาหมึกกิน ซึ่งบอกว่าอร่อย (ดูท่าทางจะอร่อยทุกอย่าง) เมื่อเดินลงไปซักพักก็เห็นป้ายของ Unesco แสดงว่าต้องสวยงามมากๆแน่เลย ระหว่างทางเดินสวยงาม ลมหนาวปะทะหน้าผมจนชาไปหมดเลย เดินไป ถ่ายรูปไป สนุกมากๆครับ ซักพักก็ถึงน้ำตกครับ ไม่ไกลเลย
น้ำตกที่ผมเห็นอาจจะไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ที่นี่ก็มีประวัติครับ ทางไกด์ได้เล่าว่ามี "ชายหนุ่มคนหนึ่งต้องการจะแต่งงานกับหญิงสาวให้หมู่บ้านแต่หญิงสาวไม่อยากแต่งด้วยเลยคิดจะหนี ชายหนุ่มคนนั้นจึงวางแผนที่จะผลักหญิงผู้น้ำตกลงที่น้ำตก แต่มังกรตัวหนึ่งเห็นถึงแผนร้ายจึงได้คาบผู้ชายขึ้นไป และทำไข่มุกตกไว้บริเวณน้ำตกแห่งนี้  นำตกที่นี้เคยมีนางฟ้าเจ็ดคนลงไปมาเล่นน้ำด้วยครับ ไกด์เลยเรียกว่าอีกชื่อนึงว่า น้ำตกเจ็ดสาวน้อย"   ประเด็นติดตรงที่ว่า ผมก็ไม่เห็นไข่มุกว่าอยู่ตรงไหน ไปมัวแต่ถ่ายรูปเลยไม่ได้สังเกต แต่รอบๆต้องยอมรับว่าสวยงามมากๆครับ

เมื่อเดินกลับมาถึงรถ ด้วยความเป็นไทยก็ต้อง shopping กันหน่อ แม้จะเล็กๆ น้อยก็ขอหน่อยเถอะ ผมไปที่ร้าน Paris baguette cafe ครับ ซึ่งพอเข้าไปแล้วก็จิตนาการว่าไปอยู่ในร้าน coffee price เลยขนมปังที่นี้ทำหน้ากินมากๆ แต่ด้วยความอิ่มจากเมื่อเช้าเลยซื้อแค่ขนมปัง กับนมกล้วย (ภาพด้านขวามือครับ) แล้วก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไป

จุดต่อไปที่ทัวร์พาเราไปคือชมสินค้า OTOP ของประเทศเกาหลี คือสนเข็มแดง ซึ่งหมดโฮจุนได้ค้นพบ ได้มีมีการทดลองให้ดูด้วย คนสาธิตสินค้านำน้ำเปล่ามาผสมกับโฟมที่ลอยตัวอยู่บนน้ำ จากนั้นเจาะแคปซูลเข็มแดงละลายลงไป ซักพักโฟมก็ละลาย ซึ่งหากเปรียบก็เหมือนกับการละลายละไขมันในเส้นเลือดครับ (ตามที่เค้าบอกมานะ) ซึ่งที่นี้ยังมีการตรวจสุขภาพให้ด้วยครับ โดยการทาน้ำมันสนเข็มแดงไว้บนนิ้วนาง แล้วก็ใช้กล้องจุลทรรศน์ดู ซึ่งก็ไม่มีใครรอดเลย ทุกคนมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคทั้งหมด แล้วเค้าก็แนะนำให้ซื้อน้ำมันสนเข็มแดงครับ 
อยู่ที่นี้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ใครที่สนใจก็จับจ่ายซื้อกันไป สำหรับผมแล้วขอผ่านครับ จากนั้นเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าที่นี้เป็นร้านกาแฟนี่น่า ไงมาขายสนเข็มแดงได้เนี้ย คงจะทำป้ายไม่ทันมั้งครับ

หลังจากได้รู้จักสินค้าแล้วก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ใช้เวลาในร้านค้านานเหมือนกันนะเนี้ย ร้านอาหารต่อไปที่จะไปกินกันคือ บูลโกกิ ซึ่งเป็นหมูหมักซอสเกาหลี แล้วต้มจนซอสเข้าเนื้อหมูครับ ต้องขอบอกว่าถ้าได้ไปเกาหลีควรทานมากๆ อร่อยจริงๆ หมูเติมไม่อั้นอีก
วิธีการกินคือต้องนำผักมารองจากนั้นก็หยิบหมู กรเทียมดิบ กิมจิ เครื่องเคียง ตามที่เราต้องการ แล้วก็อ้างปากกว้างๆ ยัดเข้าไป(ต้องยัด เพราะว่าคำมันใหญ่มากๆครับ) แต่ละคนกินกันอย่างอร่อย เพราะว่ารสชาติก็ไม่หนีจากอาหารไทย คือรสชาติจัดจ้าน และหากใครกินกระเทียมได้ รสชาติจะจีดอร่อยมากๆครับ เขียนๆอยู่ ก็อยากจะไปกินอีกซะงั้น
หลังจากินเสร็จแล้ว ก็เตรียมออกเดินทางต่อก็เลยขอถ่ายภาพบรรยากาศร้านมาให้ดูครับ เหมือนกับโรงอาหารมั้ยครับ ปกติแล้วที่ร้านเกาหลีที่นี้จะไม่เหมือนเมืองไทย ที่แบบว่าร้านเดียวมีอาหารเกาหลีทุกอย่าง ที่นี้จะมีอย่างเดียว อยากกินบูลโกกิ ก็ต้องมาร้านขายบูลโกกิ  ถ้าจะสั่งอย่างอื่นก็ไม่มีให้กิน คิดแล้วก็แปลกดีเนอะ แต่เรื่องเครื่องเคียงนั้นไม่ต้องห่วงครับ มีทุกร้าน ถ้ามาเปิดร้านอาหารอยู่เมืองไทยคงต้องปรับตัวกันหน่อ เพราะคนไทยเน้นความหลากหลาย
จุดต่อไปที่เราจะไปคือ หมู่บ้านโบราณ เป็นหมู่บ้านที่คนเกาหลีอยู่จริงครับ ซึ่งเดินทางใช้เวลาไม่นานก็ถึงครับ เมื่อลงจากรถจะเห็นป้ายแดจังกึมด้วย แดจังกึมคงจะไม่ได้มาอยู่ที่นี้นะครับ ว่าแล้วก็ขอไปถ่ายรูปกับเธอหน่อย เพราะเธอเป็นขวัญใจของผม และอีกภาพนึงขอจูบเธอหน่อย โอ้ยๆเขิลลลลลลๆๆ อายๆๆๆ  แต่ดูหน้าเธอจะตกใจมากครับ 

ชุดฮันบกที่ชาวเกาหลีใส่นั้น เพราะว่าสมัยก่อนที่ญี่ปุ่นยึดครองนั้น หญิงที่นี่จะต้องอำพลางตัวเองให้มีหุ่นรูปร่างอ้วน และเหมือนคนท้องครับ เลยได้ออกแบบมาเป็นชุดแบบนี้ครับ
ส่วนที่นี่ด้านประตูที่นี้จะมีไม้กั้นครับ ถ้าหากว่ามีการกั้นไม้ก็หมายถึงเจ้าของบ้านไม่อยู่บ้าน กั้นไม้หนึ่งอัน ก็หมายถึงไม่อยู่ชั่วคราว แต่ถ้ากั้นสามอันก็อาจจะเป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดครับ ซึ่งที่นี่คนเกาหลีไม่มีนิสัยขโมยกัน ดังนั้นไม้กั้นแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้ามาเมืองไทยหรอ ต้องแกล้งทำเป็นอยู่บ้านครับ ไม่งั้นกลับมาคงจะเหลือแต่บ้าน และที่นี่

ส่วนรูปด้านขวามือ ที่มีโอ่ง จะมีฟางข้าวร้อยอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นภูมิปัญญาในการเก็บน้ำ เค้าจะนำฟางข้าวมาถักเปียโดยให้ด้านบนแผ่ออก เอาไว้รับน้ำ แล้วรวมลงมาที่ตุ่ม ซึ่งตุ่มน้ำที่เก็บนี้เค้าจะไม่ได้เก็บไว้กินดื่ม เหมือนบ้านเรา เค้าจะเก็บไว้ใช้งาน ส่วนถ้าน้ำที่ใช้ดื่มใช้กิน เค้าจะเก็บจากน้ำตกครับ และในโอ่งแบบนี้หากเป็นคนไทยอาจจะเลี้ยงปลาเพื่อกำจัดยุงลูกน้ำ แต่นี้จะเลี้ยงกบแทนครับ ซึ่งหากอยู่เมืองไทย กบคงจะหมดก่อน . . . โดนกินซิครับ
จากนั้นก็เดินไปดูที่ห้องนอนครับ ที่นี้จะเป็นชั้นเดียว และในบ้านหนึ่งบ้านจะใช้ทำแค่กิจกรรมเดียว ถ้านอนก็นอน อ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ กินก็กิน จะไม่ all in one เหมือนกับบ้านเราครับ และส่วนการทำอาหารนั้นสมัยก่อนแต่ละคนจะทำของใครของมัน จะไม่มีการทำเผื่อกัน และก็ใช้หม้อของใครของมันไม่ปนกันเด็ดขาด หากคนสมัยก่อนมาที่บ้าน อยากรู้ว่าที่บ้านมีกี่คนก็จะมาดูจำนวนหม้อครับ ถ้ามีเยอะมากแสดงว่าบ้านนี้เป็นคนมีฐานะดีครับ  และห้องตรงนี้ไกด์ยังบอกว่าแดจังกึมเคยมาแสดงที่นี้ด้วยครับ 
เมื่อต่อเดินไป ก็จะเห็นเค้าเลี้ยงหมูดำด้วย ซึ่งหมูดำที่นี้จะใช้หินกั้นไว้ไม่ได้ออกมาด้านนอกครับ คนเกาหลีใช้บริเวณนี้เป็นที่ขับถ่ายครับ ก็คืออุจาระก็จะเป็นอาหารของหมูดำนั้นเอง แล้วหมูที่เรากินกันหมูดำรึเปล่านั้น

หากมาถึงที่เกาะเชจูแล้วจะต้องเห็นรูปปั้นคุณลุงกับคุณป้า ซึ่งคุณลุงนี้มีชื่อว่า ทอลฮารุบัง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะนี้ ตามความเชื่อแล้ว หากผู้หญิงคนไหนไม่มีแฟนก็จะมาลูบหัวกัน เพราะหัวคุณลุงนั้นจะเหมือนศิวลึงค์ครับ หากลูบแล้วก็จะได้เจอเนื้อคู่ ส่วนอยากให้สุขภาพแข็งแรงก็ต้องลูบตัว ส่วนอยากได้ความร่ำรวยก็ต้องลูบที่ก้นครับ เพราะที่ก้นจะมีสิ่งที่เหมือนทองครับ ส่วนถ้าอยากได้ลูกชายต้องลูบตา ส่วนลูกสาวต้องลูบปากครับ 

สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วก็จะต้องถือไหครับ เวลาไปไหนมาไหน คนจะได้รู้ว่าแต่งงานแล้ว แต่ถ้าหากว่าเลิกลากับสามีก็จะเขียนชื่อลงไปในไห เพื่อให้ชายคนอื่นสามารถที่จะมาจีบได้ครับ

เดินซักพักไกด์บอกเราว่าจะมีป้าใจดีท่านนึงเตรียมน้ำโอมิจาให้เราทาน เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านครับทำจากน้ำผึ้งกับราสเบอร์รี่หมัก ซึ่งหากกินแล้วมีรสชาติต่างๆ ก็จะบ่งบอกถึงอวัยวะนั้นมีปัญหาครับ ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าหวาน เปรี้ยว ฟาด บ่งบอกอะไร และ นอกจากนั้นยังมีกระดูกม้าเสริมสร้างแคลเซียมครับ ซึ่งป้าคนนี้มาขายของนั้นเองครับ ตอนเดินเข้ามานึกว่ามาพักทานน้ำ เหลือบไปเห็น packaging อันสวยงามครับ ก็รู้เลย แต่ก็เอาน่ะ มาถึงก็ฟังคุณป้าละกัน พอฟังจบแล้วก็เดินออกมา แล้วก็ งงว่า นี้เรามาหมู่บ้านโบราณ หรือว่ามาซื้อของเนี้ย จากนั้นก็ขึ้นรถกันไปต่อครับ

จุดต่อไปจะเป็น hi-light มากๆ ครับ เพราะหนังหรือละครเกาหลีชอบมาถ่ายทำที่นี้ครับ ชื่อเรียกที่นี้ว่า ซอพจิโกจิ ที่นี้จะเป็นหน้าผาที่มีประภาคาร และโบสถ์ครับ ซึ่งเมื่อมาถึงฝนก็ตกค่อนข้างมาก แต่ทุกคนก็ลงไปเที่ยวกันครับ ผมเดินไปถึงโบสถ์ แต่ไปไม่ถึงประภาคารครับ เมื่อมองไปไกลๆ จะรู้สึกถึงความโรแมนติก ความสวยงาม เย็นยะเยือก กับลมแรงๆ
เมื่อเดินเสร็จแล้ว ขากลั้บก็ซื้อปลาหมึกปิ้งกับหินลาวากับเหล่าอาจูม่าด้วย ซึ่งเป็นของกินขึ้นชื่อของที่นี้ครับ แม้จะไหม้ๆ ไปหน่อย แต่คุณป้าแกก็พยายามเอาที่ไหม้ออก รสชาติจะออกไหม้ๆหินหน่อย แต่ปลาหมึกสดอร่อยดีครับ
จากนั้น ใช้เวลาเพื่อเดินทางไปจุดสำคัญอีกที่นึง ซึ่งก็คือ ซองซานอิลชูลบง จุดนี้จะเป็นจุดที่ภูเขาไฟระเบิดและได้ดับลงแล้ว การเดินทางจะต้องขึ้นเขาไปดูปากปล่องครับ ซึ่งต้องอาศัยความอึดเล็กน้อยถึงจะขึ้นไปได้ และที่นี้จะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นครับ แต่ทัวร์พามาตอนห้าโมงเย็น ก็อดดูพระอาทิตย์ และแต่ละคนก็ใช้พลังงานกันมาค่อนข้างเยอะแล้ว
ดูแผนที่ครับ ถ้าเทียบกับภูกระดึงแล้วที่นี่ง่ายกว่าเยอะครับ เมื่อมาถึงแล้วหลายๆคนก็รออยู่ด้านล่างครับ ที่นี่จะมีร้านอาหารเต็มไปหมดเลยครับ เลือกนั่งได้ แต่ผมเลือกเดินขึ้นครับ ซึ่งครอบครัวผม รอด้านล่างกันหมดเลย โชคดีมีเพื่อนของพี่สาวขึ้นไปเป็นเพื่อนด้วย
ที่นี่ทางเดินทำได้ดีครับ ไม่ลำบากมากครับ ถึงเวลาแล้วก็รีบเดินขึ้นไปเลย เพราะกลัวลงมาไม่ทัน
เดินทางได้ครึ่งทาง ก็หันหลังกลับไป ก็รู้สึกว่า สวยงามมากๆ เห็นวิวเกาะเชจูครับ พักเหนื่อยซักพักแล้วก็เดินต่อไปครับ

ถึงแล้วครับ ปากปล่องภูเขาไฟ ที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหญ้าครับ ซึ่งจะเห็นขอบภูเขาเป็นเหมือนมงกุฏแต่เหมือนท้องฟ้าจะกลั่นแกล้งขึ้นไปถึงแล้วฝนก็มาซะงั้น รีบถ่ายรูป แล้วก็รีบเดินลงครับ  ลมค่อนข้างแรงมากๆ ร่มแทบจะปลิว เลยหุบร่มแล้วเดินลุยฝนไปเลยครับ

เดินลงมาซักพัก ฝนก็หยุดตกซะงั้น อะไรเนี้ย จะเดินกลับไปก็ไม่เอาแล้ว เดินลงไปด้านล่างต่อเลยละกัน
จากนั้น ลงมาถึงพื้นแล้วก็เจอหลานจอมซนขอคุณแม่ซื้อโดนัทที่ร้านดันกิี้นโดนัท และก็ได้ดื่มชาเขียวร้อนๆ อร่อยมากๆ ครับ รสชาติไม่หวาน กลมกล่อม เหมาะกับอากาศหนาวลงตัวจริงๆ
จากนั้นก็ขึ้นรถ แล้วก็แวะไปร้านเครื่องสำอางค์ cosmetic ซึ่งก็ได้ครีมเมือกหอยทากไปหนึ่งขวด
จากนั้นก็ไปทานหมูย่างเกาหลี ซึ่งก็อร่อยอีกตามเคยครับ
หมูย่างเกาหลีเติมได้ไม่อั้นด้วย กินจนอิ่มเต็มที่ ซึ่งระหว่างกินก็ยังไม่หนาว แต่พออิ่มแล้ว อากาศก็หนาวขึ้นมาทันทีครับ เลยต้องรีบขึ้นรถ กลับถึงที่พัก ตอนสี่ทุ่มครึ่งครับ เหนื่อยมากๆ แต่ก็ต้องรีบเก็บของ เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องนำกระเป๋าลงมาตั้งแต่เช้าเลยครับ

face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)