Jeju do trip - 1/3 - เที่ยวเกาะเชจูซึมซับวัฒนธรรมเกาหลีกัน - with Happy mail travel

หากจะพูดถึงเกาหลีแล้วผมเป็นคนนึงเลยล่ะที่อยากที่จะไป เพราะชอบทานกิมจิ และดู Series เกาหลี เมื่อสามปีก่อนได้วางแผนกับเพื่อนๆ แม้แผนจะยังอยู่ แต่ดูท่าทางจะยังไม่ลงตัวเลย ไม่ว่าจะ งบ เวลา สมาชิก จึงโดนแขวนมานาน แต่แล้วอยู่ๆ พี่สาวก็รับการเชิญชวนจากบริษัท Happy mail travel ซึ่งราคานั้นไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับเราจองตั๋วบินไปกลับอย่างเดียวยังแพงกว่า จึงทำให้ไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ ว่าแล้วก็จอง แล้วก็เที่ยวกันทั้งครอบครัวเลย

ทริปครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวที่โซลครับ แต่ไปที่เกาะเชจูซึ่งเป็นเกาะทางใต้สุดของประเทศเกาหลีใต้ โดยเกาะนี้จะไม่มีหิมะ ดังนั้นอากาศจะไม่ได้หนาวเท่าโซล และนักท่องเที่ยวอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักที่นี้ ในสมัยก่อนมีสายการบินเดียวที่บินตรงคือ Jeju air แต่ตอนนี้ได้มีสายการบินอื่นมาลงบ้างทำให้เกาะนี้คึกคักมากยิ่งขึ้น

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2013 จริงๆ แล้ววันนี้แทบจะไม่ได้ทำอะไร ที่เขียนก็เพราะว่าจะได้ล้อไปกับทางทัวร์ที่บอกว่า สี่วันสองคืน นัดกันตอนสี่ทุ่ม ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็รอ

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2013 เครื่องบินออกประมาณตีหนึ่งครับ ผมนั่งสายการบิน Eastar jet ลำค่อนข้างเล็ก มีแถวละ 6 คน 31 แถว เมื่อขึ้นเครื่องแล้วก็หลับยาวเลย ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เมื่อถึงเกาะเชจูแล้วก็รับรู้ถึงอากาศหนาวได้เลย เพราะเย็นกว่าแอร์ที่เปิดที่บ้านอีก ผมและครอบครัวก็รอรับกระเป๋า แปรงฟัน ล้างหน้า แล้วก็ขึ้นรถ 
ที่นี้จะมีทางข้ามม้าลาย ทางไกด์บอกว่าต้องรอสัญญาไฟแดง มิฉะนั้นอาจจะโดนปรับสองแสนวอน เมื่อได้ขึ้นรถแล้ว ทางไกด์คนไทยที่อยู่เกาหลีก็แนะนำตัวครับ เธอชื่อ จา (จา พนม) เธอทำงานมากว่า 7 ปี (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) เป็นคนไทยที่มาเที่ยวเกาหลีและชอบประเทศนี้ เลยฝึกภาษาเกาหลีแล้วสอบเป็นไกด์ เธอบอกว่าคนเกาหลีเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีโกงครับ มีระเบียบวินัย และประเทศเกาหลีอากาศดีกว่ากรุงเทพเยอะเลย ส่วนที่บ้านเธออยู่กรุงเทพครับ ผมเล่าประวัติคุณจามากเกินไปแล้วครับ งั้นมาเข้าสู่ทริปต่อ 
การท่องเที่ยวที่นี้โชคดีตรงที่เป็นเกาะเลยทำให้ไม่ต้องนั่งรถนานหลายชั่วโมงเพื่อไปถึงแต่ละจุดท่องเที่ยว ระหว่างทางจะเห็นภาษาเกาหลี ก็ทำให้นึกถึง Series เกาหลีเลย สถานที่แรกที่เราจะไปคือ ยงดูอัม ครับ คำศัพท์จำค่อนข้างยาก ก็เลยต้องจดไว้ จะได้มาเขียนให้ถูกครับ 

เมื่อไกด์ปล่อยเราลงไปสถานที่ต้องเที่ยวแล้วสิ่งแรกที่เห็นก็คือร้านอาหารก็กรูเข้าไปดูครับ แต่ยังไม่ได้ซื้อ ขอไปดูจุดชมวิวก่อน ยงดูอัมที่นี้จะเป็นหินมังกรอยู่ที่ชายฝั่ง คลื่นลม แรงมาก เรียกได้ว่าถ้าพลัดตกลงไปนี้เกิดใหม่ แน่ๆเลย ว่าแล้วก็ไปดูภาพกันครับ
มองเห็นมั้ยครับ จะเป็นมังกรอ้างปากหันหลังครับ ซึ่งระหว่างที่ชมวิว ก็เห็นเครื่องบิน บินไปมาด้วย แปลกดีครับ ซึ่งก็มีเรื่องเล่าด้วย ทางไกด์เล่าว่า "สมัยก่อนที่เกาะนี้มียาวิเศษชนิดหนึ่งซึ่งทางสวรรค์ให้มังกรลงมาเก็บยาวิเศษใต้ทะเล ซึ่งเมื่อมังกรลงมาเก็บแล้ว ก็รีบกลับขึ้นไปสวรรค์แต่กลับไม่ทันจึงทำให้มังกรกลายเป็นหิน ส่วนลำตัวจะอยู่ใต้ทะเล" พอมีประวัติแล้วก็ทำให้เรารู้สึกสนุกกับการท่องเที่ยวมากขึ้นครับ ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถ ก็หิว เพราะตอนเช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ทางหัวหน้าทัวร์บอกว่าจะไปกินอาหารเช้าและเที่ยง ควบกันไปเลย ผมก็งง นิดๆ 

เมื่อท้องหิวเราก็ต้องหาอะไรรองท้อง มาที่เกาหลี ไม่ต่างกับประเทศจึน คือป้าๆลุงๆ คนขายพูดภาษาเกาหลี ยังกับเรารู้เรื่องซะงั้น แต่เราก็เก่งพูดภาษาไทยกลับ ก็ยังซื้อของกันได้
สิ่งที่คุณพ่อผมเลือกคือ อะไรไม่รู้ที่คล้ายๆเฟรนฟราย พอลองกินก็รู้เลยว่าเป็นฟักทองครับ แข็งมากๆ ไม่ร้อนเลย คงไม่มีโอกาสได้กินตอนร้อนๆ เพราะอาการศที่นี้หนาวครับ ส่วนด้านล่างเป็นปลาหมึก เค้ากำลังตากแห้งอยู่ครับ เมื่อขึ้นรถแล้ว ทางไกด์ก็บอกว่าจะพาไปกินข้าว อ้าวแล้วเราซื้อมาทำไมเนี้ย ตัดกำลังชัดๆ
ขับไปสักพักก็ถึงร้านอาหารตอนสิบเอ็ดโมง ซึ่งมาถึงร้านแดจังกึม (ผมขอตั้งชื่อนะครับ เพราะมีป้ายขึ้นอยู่) เครื่องเคียงเต็มแน่ มีกิมจิ สาหร่าย ปลาตัวเล็กคุกเกลือ ไช้เท้าดอง หม้อชาบูหมูเติมไม่อั้น และยังมีบิบิมบับ หรือข้าวยำเกาหลี ซึ่งต้องบอกว่าคนที่เป็นสาวกกิมจิคงจะฟินกันมากๆครับ
นี่ครับ ข้าวยำเกาหลีดั้งเดิม น่ากินมากๆ ใส่ซอสเกาหลีแล้วก็คลุก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนคลุกกินเพลินจนหมดซะก่อน เสียดายจัง เมื่อกินเสร็จแล้ว ก็เหลือเวลาไปเข้าห้องน้ำและก็ออกไปเดินรอบๆรับลมหนาวแถวๆร้านอาหารครับ 
ป้ายทุกอย่างไม่มีภาษาอังกฤษเลย ขายอะไรก็ไม่ค่อยรู้ครับ ชาตินิยมจริงๆ เดินสักพักมือเริ่มชาเพราะอากาศเย็น ก็รีบขึ้นรถไปนั่งรอดีกว่าครับ

เมื่ออิ่มกันแล้วก็ไปต่อกันที่ Teddy Bear Museum ซึ่งตอนแรกจินตนาการของผมก็คือ เป็นเมืองหมี ขนาดใหญ่ พอไปถึง ก็เห็นป้ายตรงตึกนึง แล้วก็มีอาคารกระจก ส่วนรอบๆ ดูแล้วแทบไม่รู้ว่าถึงแล้ว นึกว่าเป็นแค่ตึกบ้านคน กับสนามฟุตบอล 
เมื่อเดินลงไปถึงแล้วก็เข้าไปในอาคารครับ เหมือนกับโลกเปลี่ยนไปเลย เพราะข้างในจะมีแต่ตุ๊กตาหมี ซึ่งไกด์บอกว่าขนหมีนี้ทำมาจากขนแกะเลย ซึ่ง Teddy Bear Museum  นั้นจะมีหลายๆที่ในประเทศเกาหลีใต้ "ชาวเกาหลีมีความเชื่อว่าบรรพบุรุษตัวเองกำเนิดมาจากหมีที่ได้บำเพ็ญเพียรจนกลายมาเป็นมนุษย์ครับ" ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับหมี ผมเชื่อเค้าคงจะไม่กินดีหมี กับอุ้มตีนหมีเหมือนประเทศจีนเนอะ

หากเป็นคนบ้าถ่ายรูปแบบผม ก็คงจะสนุกเพราะว่ามีมุมให้ถ่ายรูปเยอะ จะปีนจะเกาะ จะแกล้งหมีอะไรยังไงก็ทำได้เลยครับ โดยหมีจะมีตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนถึงขั้นขึ้นไปกระโดดเหยียบก็ได้ครับ
ในส่วนของหมีตัวเล็กๆ ที่นี่ก็จัดทำได้สวยงามตามเทศกาลต่างๆ นิยาย เรื่องเล่าเด็กๆก็จำลองมาให้ครบถ้วนเลย
นอกจากนั้นยังมีหมีใส่ชุดประจำชาติด้วย เห็นถึงความอลังการมากๆครับ ลงละเอียดเป็นอย่างดี เมื่อเดินถ่ายรูป จนจุใจแล้วก็เดินลงไปด้านล่างก็จะพบ shop ของฝาก ซึ่งถ้าหากพาเด็กๆ มาก็จะต้องได้ของกลับติดไม้ติดมือแน่นอน


เมื่อเดินกันเสร็จแล้วก็เดินออกมาขึ้นรถ เพื่อไปเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่อไป
ซึ่งสถานที่ต่อไปที่จะได้ไปคือ พิพิธภัณฑ์ชาโอชูร๊อก(o'sulloc) ซึ่งใจนึงก็คิดถึงทัวร์จีนขึ้นมาทันทีประมาณแบบปิดห้องขายของ แต่ไหนๆ มาถึงแล้วก็ไปละกัน พอไปถึงปุ๊ป เอ้ย นี้มัน coffee price รึเปล่าแต่ว่ามันใหญ่มากๆ ไม่ได้บังคับขายอะไร แต่ว่าเป็นเหมือนกับร้านชา มีสินค้าชามากมายให้เลือกซื้อ ซึ่งไกด์ก็บอกว่าให้รีบไปกินแยมโรลชาเขียวกับไอศกรีมชาเขียว

ระหว่างที่ต่อแถวซื้อของพี่สาวผมก็เดินมาบอกว่าเงินวอนที่เตรียมมาหายไป หมื่นบาท(หายทั้งซอง) แค่นั้นแหละความวุ่นวายในครอบครัวก็เกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย ค่าทริป จะซื้อของอะไรยังไง มีต้องกินข้าวเองอีก นับเงินที่เหลือกันใหญ่เลย ไม่มีกะจิตกะใจจะเที่ยวเลยครับ แต่ด้วยพลังสติ ก็กินไอศกรีมกับชาเขียวไปก่อน ที่เหลือค่อยๆ คิดครับ
หลังจากกินแล้วแต่ละคนก็ขึ้นรถไปสืบหาเงินที่หายไปกัน เหลือแต่ผมที่ขอเดินไปถ่ายรูปไร่ชา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามครับ ดูแล้วไร่ชาที่นี้สวยงามอากาศดีมากๆครับ ถ้าไม่มีเงินหายคงจะ happy มากกว่านี้ ผมถ่ายรูปสักพักก็ขึ้นรถเพื่อเตรียมไปเที่ยวต่อ
จุดต่อไปเรียกว่า ซองอักซา ซึ่งเมื่อไปถึงฝนก็ตก ทั้งอากาศหนาว ลมแรง เลยไม่ค่อยจะมีคนลงไปชมแต่ด้วยความเสียดายของผม เพราะอุตส่าห์มาถึงแล้ว ก็ต้องลงไปดู "จุดนี้จะมีหน้าผาที่เกิดจากลาวา ซึ่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่มได้บุกยึดเกาหลีและใส่สถานที่นี้ขุดถ้ำเพื่ออำพรางเรือรบ ซึ่งเคยได้เปิดให้คนเข้าไปชม แต่เนื่องจากเคยเกิดการถล่มจึงกำหนดให้ชมจากภายนอกเท่านั้น และอีกจุดนึงก็คือท่าเรือ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากแดจังกึมโดนเนรเทศมาที่เกาะนี้" ผมอยากจะลงไปสัมผัสบรรยากาศตอนที่แดจึงกึมมาที่นี้ แต่ก็ทำไม่ได้ลมทั้งแรง ฝนก็ตก หนาวอีกตังหาก และไม่ค่อยมีใครลงมาเลยครับ เลยได้แต่ถ่ายรูปไกล โบกมือบายบ๊าย แดจังกึมจากระยะไกล

เมื่อขึ้นรถแล้วก็พบว่าเงินนั้นอยู่อีกกระเป๋านึงครับ ความสุขของครอบครัวผมก็หวนกลับมาอีกครั้ง ^_^

จุดต่อไปคือ วัดยักชอนซา ซึ่งเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งจุดนี้ทางไกด์บอกว่าด้านหน้าจะมีต้นส้มเล็กที่สามารถชมได้ ขอให้ดูต้นส้มตรงนี้แทนเนื่องจากไร่ส้มนั้นไม่อนุญาติให้ผู้ท่องเที่ยวเข้าไปเพราะโดนนักท่องเที่ยวแอบทำให้ส้มตก แล้วก็หยิบกินฟรีกันครับ ดังนั้นผมเลยอดไปดูไร่ส้มจริงๆ
เมื่อไปถึงวัดก็เห็นถึงความอลังการจากภายนอก โชคดีฟ้าปิดเต็มที่ให้เราได้เข้าไปโดยไม่ลำบากครับ โดยในการทำบุญของที่นี้จะไม่เหมือนกับบ้านเรา คือทำบุญด้วยข้าวสารสามถุงซึ่งสามารถซื้อข้าวสารได้ที่วัดเลยครับ วิธีการถวายคือ เราจะต้องขอพรโดยการทูนข้าวสารสามถุงไว้บนหัว เมื่อขอพรแล้วค่อยๆ ถวายให้องค์พระตรงกลาง ขวา ซ้าย ซึ่งเปรียบเสมือน กับอดีต ปัจจุบัน อนาคตครับ หรืออยากเขียนชื่อไว้บนโคมก็ได้ครับ ซึ่งเค้าจะแขวนไว้หนึ่งปีเต็ม และยังมีถวายกระเบื้องด้วยครับ
ซึ่ง ข้าวสาร -ความอุดมสมบูรณ์  |  เทียน -สติปัญญา |  กระเบื้อง -สถานบันครอบครัว

หลังจากที่ไหว้พระเสร็จแล้ว ก็ขึ้นรถเพื่อไปที่จูซังจอลลี่ ซึ่งระหว่างเดินทางอากาศก็ยังดีๆ พอใกล้ถึงฝนก็ตกหนักลงมาซะงั้น ตอนนี้ไม่คำนึงถึงร่างกายชุดเสื้อผ้า มาถึงก็ต้องลงไปดูครับ บริเวณที่นี้จะติดกับชายหาดลมแรง และสูงมากๆครับ เมื่อมองลงไปจะเห็นลาวาที่ตกลงไปในน้ำทะเล ทำให้เกิดเป็นหินรูปแปดเหลี่ยมคล้ายรวงผึ้ง ซึ่งจากภาพอาจจะดูเล็กๆ แต่ของจริงใหญ่และอลังการมากๆครับ
หากมองอีกมุมนึงจะเห็นถึงความสวยงามอลังการ
ผมกับหลานและพี่สาวเดินซักพักก็ไปเข้าห้องน้ำเตรียมตัวขึ้นรถกัน เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีจุดเด่นอย่างอื่น และเวลาก็ให้น้อย คนส่วนใหญ่ก็อยู่บนรถกันด้วย จากนั้นก็อยู่ช่วงเย็นที่จะเตรียมไปทานอาหารซีฟู้ด
สำหรับอาหารมื้อนี้ถ่ายรูปหม้อต้มซีฟู๊ดไม่ทัน เลยได้แต่ถ่ายจานของผมครับ เนื่องจากผมไม่ได้เป็นนักกินอาหารทะเลมื้อนี้ก็ไม่ได้โปรดปรานเป็นพิเศษ แค่มีกิมจิก็พอแล้วครับ เมื่อทานเสร็จก็ออกไปเดินเล่นแต่ ต้องบอกว่า หนาวมากๆ มือชาไปหมดเลย โชคดีที่ไกด์บอกให้เตรียมชุดถุงมือให้พร้อม เพราะอากาศจะเย็นมากๆ

จากนั้นก็กลับที่พัก นอน แบบริดโรยเพราะอดนอนมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องครับ

สำหรับเกาเชจูแล้วจะมีสามอย่างที่มักจะเจอบนเกาะนี้ คือ
ลม เนื่องจากเป็นเกาะติดทะเล
หินลาวา เพราะเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิด
ผู้หญิง เพราะผู้ชายที่นี้จะต้องออกเรือและหายคนก็สูญหายบ่อยทำให้ผู้หญิงที่นี่มีจำนวนมาก และผู้ชายก็สามารถมีภรรยาได้หลายคน ดีก็ตรงนี้แหละ

face2cu

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)