Doi Tao Trip - สัมผัสความจริงใจชาวดอย

ทุกๆการเดินทางของผมนั้นมักจะมองถึงสถานที่ที่อยากจะไปชมไปสัมผัส สถานที่ที่ผู้คนไปแล้วกลับมาเล่าได้ว่ามันสวยงามแค่ไหน post ภาพสวยๆให้หลายๆคนชื่นชมได้ แต่ทริปนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะเป็นทริปที่เดินทางไปดอยซึ่งไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่มีห้องพักหรูๆ ไม่มีวิวสวยๆ ร้านอาหารก็ไม่มี แต่สิ่งที่พิเศษกว่าการท่องเที่ยวคือการได้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้โรงเรียนเด็กชาวดอยนั้นดีขึ้น

*ทริปนี้ต้องขอขอบคุณพี่ที่ออฟฟิศที่ชวนไป*

วันที่ 17 มิถุนายน 2559 ผมออกเดินทางจากบ้านตอนตีสามครึ่งเพื่อไปหาพี่ที่ออฟฟิศจากนั้นจึงเดินทางไปแถวๆงามวงศ์วานเพื่อนั่งรถตู้ ซึ่งรถตุ้ออกจากกรุงเทพตอนตีห้า เพื่อเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางมีแวะเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาประมาณบ่ายสามโมง ก็ถึงที่ว่าการอำเภอดอยเต่า สถานที่การเดินทางครั้งนี้คือโรงเรียนแม่ป๊อกล่าง ณ ดอยเต่าครับ

พบคุณครูเบิ้มซึ่งเป็นครูเพียงคนเดียวที่กศน.จากนั้นนั่งรถรถตู้ เข้าสู่เส้นทางธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ระหว่างทางไม่มีรถใดขับผ่านเลยครับ เป็นเส้นทางเฉพาะจริงๆ


ตลอดทางสวยงามเป็นธรรมชาติมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ก็จะพบกับแม่น้ำปิง ซึ่งหากน้ำขึ้นสูงก็สามารถให้รถกระบะขึ้นเรือข้ามน้ำมารับได้ แต่ช่วงที่ผมไปนั้นน้ำน้อย เราต้องนำของจากรถตู้ลงเรือ ไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวของแต่ละคน เต็นท์ เสื้อผ้า หนังสือ รองเท้าที่ได้รับบริจาค ขนม นมกล่อง ที่จะไปแจกน้องๆบนดอย

การเดินทางครั้งนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกถึงสิบคน มีตั้งแต่น้องที่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยจนถึงคุณลุงสุดฮาพวกเรานำของลงเรือและข้ามเรือไป จากนั้นยกของขึ้นรถกระบะเพื่อเดินทางขึ้นไปยังบนดอยเต่า อากาศตอนนั้นเริ่มเย็น เมฆค่อนข้างมากสิ่งที่กลัวคือฝน ผมพกเสื้อฝนติดตัวไว้ และรถกระบะที่พาเราขึ้นไปนั้นไม่มีท้ายให้ปิดทุกคนจะต้องเกาะราวเหล็กให้แน่ไม่อย่างนั้นมีหวังกระเด็นออกนอกรถแน่ๆ ระหว่างที่ยืนอยู่บนรถ รถก็ขับเข้าป่า แล้วพาขึ้นเขา ใช้กำลังมือค่อนข้างมาก บางครั้งก็ต้องคอยหลบกิ่งไม้ไม่ให้ชนหัวได้ทั้งความสนุกสนานและได้รู้จักเพื่อนๆในทริปมากขึ้น


เส้นทางการขึ้นเขาบางจุดก็ดูน่ากลัว ข้างๆเป็นเหว บางช่วงก็เป็นดิน แต่หลายๆช่วงก็เป็นปูนทำให้รู้ปลอดภัยมากขึ้น เส้นทางเป็นทาง Oneway จะสวนกันไม่ได้ต้องหลบตามไหล่ทางเท่านั้น ใช้เวลาเกาะราวเหล็กประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงเรียนแม่ป๊อกล่าง


นี่คือโรงเรียนที่พวกเราจะอยู่กันสองคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆ  โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนประมาณ 25 คนตั้งแต่ระดับป.1 ถึง ป.6 มีคุณครูเบิ้มเพียงคนเดียว มีบ้านประมาณ 35 หลังคาเรือนหมู่บ้านแห่งนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงแต่จะมีโซลาร์เซล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งทันสมัยที่สุดของที่นี้ ส่วนน้ำปะปานั้นไม่ต้องพูดถึงใช้น้ำภูเขาอย่างเดียว โชคดีที่ช่วงผมไปนั้นน้ำเริ่มมี หากไม่มีน้ำจะต้องไปขุดทรายเพื่อกรอกเอาน้ำมาใช้ รู้สึกตัวเองเป็นคนกรุงเทพนั้นโชคดีที่มีความสุขสบายมากมาย การเดินทางครั้งนี้ผมยังได้มีงบจากโครงการที่บริษัทเอสซีจี เพื่อมาพัฒนาโรงเรียนแห่งนี้ โดยเรามีเป้าหมายที่จะทำสองอย่างคือการมุงหลังคาโรงเรียนใหม่ และสร้างห้องน้ำ

เมื่อลงมาถึงหน้าโรงเรียนแล้วก็จะมีเด็กมองเราอยู่ไกลๆ เขินๆ พวกเราเก็บของเข้าห้องเรียนก่อนห้องเรียนก็มีห้องเดียวแหละครับ

เนื่องจากถึงโรงเรียนค่อนประมาณบ่ายห้าโมงเย็นจึงไม่มีกิจกรรมอะไรมาก เดินทางทั้งหมดประมาณ 14 ชั่วโมงค่อนข้างล้ามากครูเบิ้มทำอาหารให้พวกเราทานเป็นแกงเห็ดเผาะ เห็ดเผาะเป็นเห็ดที่หาได้บนดอยซึ่งพี่ๆหลายคนรู้จักและชื่นชอบมาก สำหรับทริปนี้ผมก็อาสาเป็นพ่อครัวเองเลย ลองสำรวจห้องครัว
แรกๆกลัวว่าวัตถุดิบจะไม่พอ แต่พอลองหาดูก็พบว่ามีค่อนข้างครบถ้วนพอสมควร ได้คุยกับครูเบิ้มก็ได้ทราบว่าในวันที่มีเรียนหนังสือครูเบิ้มจะต้องทำอาหารให้นักเรียนทั้ง 25 คนกินตอนกลางวันด้วย ฟังแล้วรู้สึกเหนื่อยแทนครูเบิ้ม เรียกได้ว่าครูคือทุกอย่างของเด็กนักเรียนจริงๆ คุยกับครูเบิ้มแล้วคิดถึงหนังเรื่องคิดถึงวิทยาเลย

เนื่องจากกลัวว่าจะกับข้าวจะไม่หลากหลายผมเลยทำอาหารเพิ่มอีกสองอย่างคือ เห็ดเผาะผัดน้ำมันหอย และไข่เจียวเมนูไม้ตายที่ใครๆก็ทานได้

มีเพิ่มปลาดุผัดพริกขิงจากร้านจรูญแดงที่ซื้อมาจากกรุงเทพ หลังจากที่ผมทำเสร็จแล้วก็ยกกันมาทานที่โต๊ะ มื้อแรกก็กลัวว่าเพื่อนๆจะกินกันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็หมดครับ ด้วยความหิว ผมเลยขออาสาเป็นพ่อครัวตลอดทริป เพราะเป็นคนชอบทำอาหาร หลังจากทานเสร็จแล้วก็พักผ่อน กางเต็นท์ในห้องเรียนเพื่อกันลม กันยุงกัด และก็ดูทีวี ก็มีเด็กมานั่งดูละคร ซึ่งก็ชวนน้องเค้าคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะคนบนดอยใช้ภาษากระเหรี่ยงโปร ในการสื่อสารกัน ผมได้มาประโยคนึงคือ "อังมี่งอมียะ ..." จำไม่ค่อยได้แล้วครับ แปลว่าทานข้าวแล้วรึยัง หลังจากคุยเล่นกับน้องเส็จ ก็ต่างทะยอยกันเข้านอน

วันที่ 18 มิถุนายน 2559 ผมตื่นตามปกติ 5.30 น.(เวลาปกติของผมในวันหยุด) ได้ยินเสียงไก่ขันร้องเรียกแต่เช้า แต่ละคนเริ่มทยอยล้างหน้าแปรงฟัน ผมก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ แล้วก็กลับมาทำอาหารเช้า มื้อเช้านี้ทำอะไรง่ายๆทาน ครูเบิ้มนำเนื้อหมูสามชั้นมาให้ เลยได้เมนูดังภาพ
หมูกระเทียมพริกไทย ผัดผักบุ้ง และไข่เจียว ทานเสร็จแล้วบางคนก็ดื่มกาแฟ กินขนมที่ซื้อกันมา แล้วนักเรียนก็เริ่มทยอยกันมา ในช่วงเรียนนั้นนักเรียนจะเรียนจันทร์-เสาร์เลยครับ กิจกรรมเช้านี้ครูเบิ้มบอกให้นักเรียนพาพวกเราไปน้ำตกก่อน จากนั้นค่อยไปตักทรายเพื่อใช้ผสมปูนสร้างห้องน้ำ

ตลอดการเดินนั้นเส้นทางค่อนข้างชันเดินๆก็มีเมื่อยบ้าง ระหว่างเดินผมก็รู้จักกับน้องชานุ ซึ่งเป็นน้องที่ผมคุยด้วยเมื่อคืน น้องอาสาถือน้ำดื่มให้ตลอดทาง เดินไปคุยกันไป แซวกันตลอดทาง


สักพักน้องก็วิ่งเข้าไปในป่าเก็บเห็ดเผาะกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็สอนให้พวกเราเก็บด้วย พวกเราเดินไปหาเห็ดเจอบ้างไม่เจอบ้าง แต่เด็กๆที่นี่ตาไวมากเก็บได้ตลอดทาง


ทริปนี้คุณลุงเป็นขวัญใจของเด็กๆพกกล้องโปรมาถ่ายรูปเด็กๆ และบางครั้งก็ให้เด็กถ่ายรูปให้ ดูเจ้าชานุก็อยากรู้ว่าถ่ายรูปเป็นอย่างไรก็ไปเกาะแกะจนได้ถือกล้องโปรของคุณลุงเลย เดินเก็บเห็ดไปเรื่อยๆสักพักก็ได้พบกับวิวที่สวยงาม


มองออกไปเป็นภูเขามีต้นไม้ใหญ่ มีสายน้ำเล็กๆซึ่งเด็กบอกว่าตรงนี้แหละคือน้ำตก ในใจผมคิดว่ามันคือทางน้ำไหลมากกว่าเพราะไหลน้อยมาก ระหว่างที่ได้เห็นวิวสวยงามแบบนี้ก็นั่งพักกันสักระยะแล้วน้องๆก็ถามว่าจะลงไปด้านล่างไหม ซึ่งคุณลุงลงไปถึงแล้ว พวกเราก็ถ่ายรูปกันก่อนเดินลงไป


คนถ่ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้องชานุนั้นเอง ถ่ายแบบไม่กลัวตกเลย(ด้านหลังชานุเป็นหินชันตกลงไปกลิ้งถึงด้านล่างเลย) จากนั้นพวกเราก็เดินไปลงถึงด้านล่างซึ่งเส้นทางนั้นชันและน่ากลัวมาก ผมเป็นคนกลัวความสูงบางจุดถึงต้องคลานสี่เท้า ส่วนเจ้าชานุก็บอกว่าให้วิ่งลงไปเลยไม่ต้องกลัว บางช่วงก็มาจับมือผมลงด้วย แต่ยิ่งช่วยยิ่งเสียว จนเจ้าชานุเรียกผมว่ากระเทยใจเสาะ

เมื่อถึงด้านล่างแล้ว ก็จะมีแอ่งน้ำ ไม่ใหญ่มมาก ประมาณ  7x4 เมตร ถือว่าเล็กมากเด็กแต่ละคนก็โดดลงไปเล่นกันสนุกสนาน

พี่ในทริปคนหนึ่งก็ลงไปเล่น แล้วเจ้าชานุก็เรียกผมให้ลง ก็เลยลงไปเล่น ตอนแรกตั้งใจแค่ลงไปสัมผัสความเย็นสบายของน้ำแช่น้ำเล่น สักพักเริ่มคึกดันไปให้น้องขี่หลังแล้วว่าย



เล่นไปเล่นมาปรากฏว่าแว่นตาหาย น้องแต่ละคนน่ารักมากบอกว่าไม่ต้องกลัวเดี๋ยวจะหาได้แน่ๆนอน แต่ละคนก็หาวิธีหา ไม่ว่าจะดำน้ำ หรือใช้ขาควานหา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เพราะคงโดนทรายฝังไปเรียบร้อย ผมเดินกลับขึ้นเขาพร้อมกับความเบลอตลอดทริป

หลังจากเล่นน้ำเสร็จแล้วก็เดินกลับขึ้นเขา แล้วน้องกลุ่มหนึ่งก็เดินกลับไปที่โรงเรียนเพื่อเอาพลั่ว และถุงกระสอบมาตักทราย ส่วนพี่ๆ เดินแยกไปอีกทางเพื่อไปที่ลำธารรอพลั่วและถุงกระสอบ รอสักพักเด็กก็เอาอุปกรณ์มาให้
พวกเราตักทรายใส่ถุงกระสอบไว้ เพื่อใช้สำหรับผสมปูน โดยทรายนั้นจะอยู่บริเวณลำธาร สาเหตุที่ไม่ซื้อใหม่แล้วขนขึ้นมา เนื่องจากการขนส่งนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แค่ปูนที่ส่งขึ้นมานั้นก็มีราคาสูงอยู่แล้ว จึงให้ทรายจากธรรมชาติแทน ตักกันประมาณ 10 กว่าถุงก็เริ่มไม่ไหวเลยเดินทางกลับ(ครูเบิ้มบอกว่าขอประมาณ 100 ถุง)

ขากลับนั้นไม่ได้แบกถุงทรายขึ้นมา เพราะเส้นทางค่อนข้างไกลและทางชันมาก เดินกลับยังรู้สึกเมื่อยและเหนื่อย แต่เด็กๆก็ยังสนุกสนาน พูดคุยกันเพลิดเพลินตลอดทาง เมื่อเดินมาถึงโรงเรียนแล้ว ครูเบิ้มทำอาหารรอไว้แล้ว มื้อนี้เป็นแกงเขียวหวาน ที่มีมะเขือเป็นจำนวนมาก
น้องๆทุกคนจะมีปิ่นโตข้าวของตัวเองตัวเอง และก็ตักแกงเขียวหวานกัน เอร็ดอร่อยมากๆ ส่วนผมก็ทำขนมสังขยา จึงไม่ได้ไปนั่งทานกับน้องๆ เมื่อน้องๆทานข้าวเสร็จแล้วก็จะมาช่วยกันล้างจานกัน จากนั้นก็พักผ่อนกันมีไปตีแบด ส่วนผมไปเตะบอล ซึ่งน้องๆนั้นเก่งกันมาก เรี่ยวแรงเยอะเกิน หลังจากเล่นกันเสร็จแล้วก็แบ่งสังขยาให้น้องๆกินด้วย

สังขยาทานคู่กับขนมปัง มีนมข้นหวานให้จิ้มด้วย แม้ว่าอาจจะไม่เข้ากันแต่ก็ทานกันจนขนมปังหมดถุงครับ หลังจากเล่นจนเหนื่อยกินจนอิ่ม ก็ยังมีอีกงานสำคัญคือการสร้างห้องน้ำสำหรับน้องๆ ซึ่งผมเป็นงานที่ผมไม่เคยทำมาก่อน พี่ๆ น้องๆรวมถึงคุณครูก็ไปช่วยกัน


เริ่มต้นจากการเกลี่ยหน้าดินให้เท่ากัน จากนั้นจึงลงเสาไม้ ต้องยอมรับว่าต้องใช้แรงกันมากมายๆ จริงๆเด็กโตๆ ก็มาช่วยกันอย่างไม่มีท่าทีเหนื่อยแต่อย่างใด ผมทำจนหมดแรงก็เปลี่ยนกัน น้องๆผู้หญิงในทริปก็น่ารักมาช่วยกัน แรงไม่น้อยเลยครับ ทำเยอะด้วย ผมยังอายเลยล่ะ ทำไปสักพัก ใครเหนื่อยก็พัก

ผมเดินกลับมาที่ห้องเรียนก็เห็นชานุกำลังทำโจทย์เลข  ผมซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ ป.1-6 เล่มใหม่เอี่ยมเลย พอเห็นน้องๆได้มานั่งทำ ตั้งใจกันมากรู้สึกตื้นตันใจมากๆ


น้องๆน่ารักมาก เดินไปดูที่กองหนังสือแล้วก็เลือกหนังสือมาหาผมทำตาปริบๆ ผมถามว่าอยากทำไหม น้องก็บอกว่าอยากทำ ก็เลยได้มีโอกาสสอนน้องๆ แม้ว่าหลายๆข้อน้องจะทำไม่ค่อยได้ แต่พอสอนสักพักน้องก็สามารถทำได้ครับ ส่วนน้องในทริป ตั้งใจสอนมากมีเอาการสูตรคูณถึง 12 แม่กันเลย

เวลาผ่านไปสองชั่วโมงฝ่ายทำห้องน้ำก็ยังคงทำต่อไป ส่วนใครเหนื่อยก็พักถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน


ผมก็เตรียมทำอาหารมื้อเย็น มื้อนี้พิเศษเพราะวันนี้เราใช้แรงกันมาทั้งวันครับแถมน้องๆยังจับไก่มาให้เราทำอาหารด้วย (เป็นวิถีชาวดอยครับ มีไก่ที่เลี้ยงไว้ตามธรรมชาติตัวไหนโตแล้วก็โดนมาทำอาหาร) ก่อนทำอาหารผมก็ออกมาตีแบดกับน้องๆก่อน


พี่ในทริปจัดการทำไก่อบฟาง ยัดตะใคร้เพิ่มความหอม ดับกลิ่นคาวไก่ด้วแถมมีน้ำจิ้มรสเด็ด หลังจากที่ทำเสร็จแล้วก็ได้ไก่อบฟางดังภาพ

ส่วนอาหารจานอื่นๆ ก็มีเพื่อนๆมาช่วยกันทำด้วยจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเครื่องในไก่ต้มเค็ม คะน้าหมูกรอบ ผัดผักบุ้ง ยำปลากระป๋อง แถมมีมะม่วงน้ำปลาหวาน(มะม่วงให้ก็น้องๆเก็บมาให้)

มื้อนี้มีน้องๆมาร่วมโต๊ะด้วยสองคน ที่มาทานด้วยเพราะว่าครูเบิ้มเรียกให้กิน(นักเรียนที่นี่เชื่อฟังครูทุกคน ถ้าไม่เรียกน้องๆจะไม่มากิน) หลังจากทานกันแล้ว นั่งพักสักพักน้องๆ ก็มาเล่นกันอีกครับ ไม่ว่าจะตีแบต เส้นหมากฮอส รวมไปถึงชกมวย

หลังจากกิจกรรมต่างๆหมดแล้ว เด็กกลับบ้าน หลายๆคนก็กลับเข้าเต้นท์นอนพัก เหลือพี่ที่ดูแลโครงการก็คุยกับครูเบิ้ม ผมนั่งสักพักก็เริ่มง่วงแล้วก็เข้าเต้นท์หลับสนิทมากๆคืนนี้

วันที่ 18 มิถุนายน 2559 ผมตื่นขึ้นมาอตอน 5.30 นอนอากาศค่อนข้างเย็น ผมล้างหน้าแปรงฟันและทำอาหารมื้อนี้เป็นข้าวผัด พร้อมกับน้ำจิ้มสูตรคุณแม่ผมเอง และมีผัดผักกาดทอดน้ำปลา(ไม่มีกะหล่ำปลี) ทำเสร็จแล้วทุกคนก็รีบกินกัน ผมลืมถ่ายรูปอาหารด้วความเร่งรีบเลยไม่ได้ถ่ายรูปอาหาร จากนั้นนักเรียนก็เริ่มมาหา โดยชวนพวกเราเล่นแบด แต่ว่าวันนี้เป็นวันกลับต้องออกเดินทางจากโรงเรียนตอน 8.00 น. เลยไม่ได้เล่น กินข้าวเสร็จแล้วเก็บของเดินทางกลับถึงกรุงเทพเวลาประมาณสี่ทุ่มครับ

สุดท้ายแล้วทริปนี้มีความประทับใจมากมายแม้ว่าจะช่วงเวลาสั้นเพียงแค่หนึ่งวันแต่ก็มีกิจกรรมดีๆ เจอน้องๆบนดอยน่ารัก มิตรภาพใหม่ถือเป็นการเดินทางด้วยความประทับและมีความหมายสำหรับปีนี้เลยครับ

ภาพความประทับในของเราขอขอบคุณ SCG ที่ช่วยสนับสนุกให้ผมได้ทำความดี มีประสบการณ์ดีๆ


แล้วเจอกันใหม่ครับเด็กดอย ^_^

face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)