Lipe Island trip (Part 1/2) - เที่ยวหลีเป๊ะ หน้ามรสุม

โอ้ทะเลแสนงาม . . . บทความนี้เป็นทริปที่ตั้งใจจะไปมากๆ เพราะวางแผนมานานมาแล้ว แต่กว่าจะได้ลงตัวก็นานเหลือเกินจนเกือบจะไม่ได้ไปอีกตามเคย เริ่มต้นดูตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ ไปดูงานท่องเที่ยวไทยถึงสองวันเต็มๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จองอะไร เพราะมีพี่ที่ไปมาแล้วบอกว่าไม่ต้องซื้อเป็น Package ก็ได้ ซึ่งดู Package แล้วก็มีแบบ สามวันสองคืน กับ สี่วันสามคืน ซึ่งแนะนำว่าไหนๆ ก็ไปแล้วไป สี่วันสามคืนดีกว่า เพราะว่าที่นี่มีที่เที่ยวเยอะครับ
การเดินทางจากกรุงเทพฯไปหลีเป๊ะ ไปได้หลายวิธี
1. นั่งรถทัวร์ไป ต่อเรือที่ท่าปากบารา
2. นั่งเครื่องบินไปลงหาดใหญ่ ต่อรถตู้ ต่อเรือ
3. นั่งเครื่องบินไปลงตรัง ต่อรถตู้ ต่อเรือ
ส่วนการเดินทางของผมครั้งนี้ใช้วิธีที่สองครับ
วันที่ 27 มิถุนายน 2013
กรุงเทพ-ดอนเมือง-หาดใหญ่-ท่าเรือปากบารา-เกาะหลีเป๊ะ-Lipe Power beach resort
เริ่มต้นการเดินทางที่กรุงเทพ ผมจองตั๋วราคาถูก (รึเปล่า) สองพันต้นๆ ออกเดินทางจากกรุงเทพตอนหกโมงสามสิบนาที ด้วยความที่ว่าเป็นคนตรงเวลา คือกะเวลาไว้เป๊ะ ยังไม่ทันได้กินข้าวก็ต้องขึ้นเครื่องแล้ว เครื่องบินใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึงที่หาดใหญ่ ตอนแปดโมง จากนั้นก็มีรถรับ เพราะจองไว้จากกรุงเทพเลย ใช้บริการ EasyLipe (โปรโมทแบบไม่ได้ค่านายหน้า เลยนะ) ก่อนจะขึ้นรถก็ซื้อโดนัทกินกันซึ่งก็ต้องรีบกินเพราะคนบนรถตู้นั่งรอพวกเราอยู่
ถึงแล้วท่าปากบาราแล้ว ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ก็กินข้าวเที่ยงกับแถวๆนั้น แล้วยังต้องตุนเสบียงกันเพราะที่นี้มี Seven Eleven บนเกาะไม่มีครับ มีอะไรขนได้ขนไป ไม่ว่าจะ น้ำ มาม่า ขนมขบเคี้ยว ลูกอม ยาซื้อไว้เลยครับ
ตรงนี้จะเป็นที่ทำการอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา แล้วก็เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วย จะเข้าเกาะก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย คนละสามสิบบาทครับ
เรื่อที่เราได้จองไว้เป็นเรือเฟอร์รี่  เรือลำนี้มีให้นั่งด้านหน้ากับด้านหลังครับ ซึ่งพวกเราก็เลืองนั่งด้านหน้า เพราะคนไม่ค่อยนั่งกัน ซึ่งสุดท้ายผมก็เมาคลื่นปวดหัว มึนอยากอาเจียนสุดๆ ต้องพึ่งยากันเลย
เมื่อโต้คลื่นอยู่บนเรือสองชั่วโมงเรือก็มาจอดถึงโป๊ะ ซึ่งหน้ามรสุมเรือจะมาจอดฝั่งท่าหน้าโรงเรียนครับ จากนั้นก็ต้องเสียค่าเรือ Taxi และธรรมเนียมค่าเข้า อีก 50+20 บาท ต่อคนครับ จากนั้นนั่งเรือ Taxi มาแบบใกล้ๆ ก็ถึงฝั่ง ในใจก็คิดว่าเอ้ย ทำไมคิดแพงจังเลยเนี้ย แต่อย่างว่าเป็นการอุดหนุดคนท้องถิ่นก็ต้องยอมครับ
ถึงแล้วเกาะหลีเป๊ะแล้วครับ ที่นี่เรือที่ใช้กันประจำจะเป็นเรือหางยาวซึ่งตอนแรกผมก็กลัวว่ามันจะเป็นเรือหางยาวแบบในกรุงเทพแต่พอมานั่งก็รู้สึกปลอดภัยและก็ใหญ่ดีครับ ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงมรสุมซึ่งหลายๆคนก็ต่างเตือนว่าอย่าไป แต่ด้วยสปิริต และเงินที่จ่ายไปแล้วก็ต้องมาให้ได้ และท้องฟ้าที่นี่ก็ต้อนรับเราด้วยแดดที่ร้อนแรงมากเลยครับ
มาถึงเกาะ ก็ประมาณบ่ายสามโมงแล้ว ครั้งนี้พักกันที่ Lipe Power Beach Resort ซึ่งได้ที่พักแบบ งง ๆเพราะทาง Easy Lipe แนะนำมาครับ ได้โปรโมชั่นพักสอง ฟรีหนึ่งคืน ก็ตกคนละ 1500 บาท พร้อมอาหารเช้าสองที่ ส่วนเพิ่มเตียงก็คืนละ 500 บาท แต่ไม่มีเตียง มีแต่ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว อาหารเช้าให้ครับ แต่เตียงใหญ่ Okay เลยนะ  ส่วนผู้จัดการที่พักก็น่ารักด้วย ชื่อพี่แจ๊คกี้ เป็นคน friendly มากๆครับ
โชคดีสุดๆ ห้องที่ผมได้พักนั้นติดหน้าหาดเลยใกล้กับ Lobby ด้วย ซึ่งแค่เปิดประตูออกมาก็เห็นทะเล รับลมทะเลเต็มๆ เลย ห้องตรงนี้ยังได้รับอานิสงค์ Wifi ฟรีจากห้องอาหารอีก แม้จะติดๆดับๆ บ้างแต่ก็ใช้ได้ลื่นไหลดีครับ สำหรับช่วงที่ผมไปนั้น AIS DTAC สัญญาณเต็มที่เลย โทรได้ไม่แตกต่างจาก กทม แต่ True ของเพื่อนนั้นดับสนิทเลยครับ เลยต้องอาศัย Wifi ของที่นี่แทน
ถ่ายรูปในห้องมาให้ด้วยครับ มีแอร์ เปิดได้ตอนบ่ายสี่โมง เตียงดูสะอาดดี ส่วนห้องน้ำกว้างเท่าตัวบ้านเลย มีโซนห้องน้ำ โซนอาบน้ำ ด้วยครับ พักแล้วสบายใจครับ (เป็นคนชอบห้องน้ำสะอาดๆ กว้างๆ)

หลังจากเก็บของแล้วก็คุยกับพนักงานที่อยู่ที่พัก ก็แนะนำว่ามีน้ำตกด้วย แต่ถ้าไปตอนนี้อาาจจะไม่ทันก็เลยเก็บไว้วันอื่นเที่ยวแทน เลยนั่งกินขนมกัน ซึ่งก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าขนมที่ตุนไว้น้อยจังเลย ผมยังมึนจากคลื่นก็เลยกลับที่พักแล้วก็หลับไม่มีรู้เรื่่องไปชั่วโมงกว่า ตื่นขึ้นมาก็เลยไปหาของกิน เดินไปที่หาดพัทยา ซึ่งระหว่างทางก็เจอ Walking street  แต่คนน้อยมากๆ เพราะช่วง Low Season แทบจะหาของกินไม่ได้เลย

ถึงหาดพัทยาแล้ว แทบจะนับคนได้เลย ว่ากี่คน คนไม่ค่อยมีเลยครับ
ว่าแล้วก็ถ่ายรูปเล่นกับน้ำทะเลใสๆ บรรยากาศเงียบๆ ดูสนุกสนาน บนความสงบเลย
หลังจากถ่ายรูปกันแล้วก็เดินทางทริปดำน้ำแต่ราคาก็เท่ากันหมดเลยเลยไปจองกับที่พักดีกว่าครับ ขากลับแวะร้านอาหารร้านอาหารที่เปิดซึ่งผมได้สั่งข้าวคลุกกะปิกัน จานละ 120 บาท ก็ถือว่า Okay นะ
แม้เครื่องจะไม่ครบก็ตาม ต่อด้วยน้ำแตงโมปั่นเย็นๆ และตบท้ายด้วยโรตีกล้วยช๊อกโกแลต อิ่มกันเต็มที่เลย จากนั้นก็เดินทางกลับที่พักแล้วก็หลับปุ๋ยเลย (แต่เพื่อนข้างๆ หลับยากเพราะเค้าบอกว่าผมบรรเลงเพลงตลอดคืนเลย 555)

วันที่ 28 มิถุนายน 2013
เกาะหินงาม-เกาะราวี -ดำน้ำ-ดูปะการัง
ผมตื่นตอนหกโมงนิด ขึ้นมาแบบงง เพราะเมื่อคืนหลับสบายมากครับ เดินออกจากห้องก็รับลมทะเลเย็นๆเต็มๆหน้าเลย อะไรจะสดชื่นไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ
จากรูปแล้วจะเห็นเรือจอดเต็มฝั่งไปหมดเลยครับ ดูเงียบสงบจริง ในใจก็ภาวนาว่าขอให้วันนี้อากาศสดใส เพราะวันนี้กิจกรรมหลักของเราคือการดำน้ำนั้นเอง เดินถ่ายรูปเล่น ก็เจอเพื่อนๆใหม่อีก
ที่นี่มีหมา มีแมว เชื่องมากๆ ซึ่งแมวชื่อณเดชครับ ส่วนใครรักหมาก็เล่นกับหมาได้ หมายังเด็กอยู่เลย ร่าเริงมากๆ ซนสุดๆ เลย เดินเล่นสักพัก ก็เริ่มปลุกเพื่อนๆ ขึ้นมากินข้าวเช้ากัน วันนี้ที่นี่จัดบุพเพ่ต์เพราะมีกรุ๊ปทัวร์จีนมาเลเซียมาเยอะ เราก็เลยได้อานิสงค์ไปด้วย
อาหารก็มีข้าว แฮม ไส้กรอก สลัด ผัดเส้นหมี่ ขนมปังไข่ ขนมปังทาเนย น้ำส้ม แล้วก็สั่งไข่ได้ ไม่ว่าจะ ออมเล็ต ไข่คนหรือไข่ดาว หลังจากที่กินกันจนอิ่มแล้วก็กังวลเรื่องห้องน้ำเพราะวันนี้จะออกจากฝั่งแล้วไม่มีห้องน้ำเลย ต่างคนก็เตรียมส่งแฟกซ์กัน ก่อนจะขึ้นเรือ สำหรับค่าใช้จ่ายค่าเรือนั้นพวกเราเหมาครับ ค่าเหมาะ 1500 บาท ดำน้ำรอบใน + 200 ค่าอาหาร เช่าอุปกรณ์ดำน้ำ
นั่งเรือไปสักพักมองไปไม่เจอใครเลย หน้ามรสุมนี้คนน้อยมากๆครับ ไปจุดแรกเป็นร่องน้ำจาบังคลื่นก็แรงมากๆ จนพี่ที่คุมเรือไม่ให้ลง แต่จุดนี้พี่เค้าบอกว่าสวยงามมากๆ เพราะมีปะการังเจ็ดสี จากนั้นพี่ก็ขับเรือพาพวกเราไปดำน้ำกันอีกจุด ซึ่งน้ำใสมากครับ มองเห็นพื้นทรายในน้ำชัดเจน จากนั้นไปชมเกาะหินงาม
ดูจากหินในรูปด้านบนก็จะเห็นถึงความแปลกตา เพราะเกาะนี้มีแต่หินมารวมตัวกัน หรือมีคนทำก็ไม่รู้ครับ
เกาะหินงามที่นี่ เค้าเล่ากันว่าจะต้องเรียงหินให้ได้สิบสามชั้น ซึ่งเพื่อนผมก็ตั้งใจทำมากๆ ส่วนผมก็มัวแต่ถ่ายรูปกับกองหินที่เค้าเรียงไว้แล้ว (ไม่ทำเอง) เมื่อเพื่อนทำเสร็จแล้วก็ขอไปถ่ายรูป ซะงั้นเลย

นี่ครับ ต้องชื่นชมฝีมือเพื่อนที่ตั้งใจเรียงหินครับ พร้อมทั้งถ่ายรูปแบบมุมที่ดูแปลกตามากๆ
ที่เกาะนี้มีตำนานด้วยนะครับ ว่าห้ามนำหินกลับไม่ฉะนั้นร่างกายจะไม่แข็งแรง ไปเที่ยวชมความสวยงามอย่างเดียวพอครับ ส่วนธรรมาชาติก็ปล่อยไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้าง เมื่อใช้เวลาที่นี่จนเต็มอิ่มแล้ว ได้เหยียบทั้งหิน เรียงหิน มองทะเล ก็ใกล้เวลาเที่ยงก็เลยพาไปเกาะราวี เพื่อทานข้าวกัน
อาหารกลางวันวันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งครับ กุ้งเยอะมากๆครับ จากนั้นตามด้วยขนมที่เราแบกกันไป เกาะนี้มีน้ำจืดให้อาบได้ด้วย เมื่อกินกันเสร็จแล้วก็พักผ่อนกายา จะโดดน้ำ นั่งพักที่หาด หรือนอนกลางทรายก็ทำได้ครับ ดูจากรูปล่างขวา เพื่อนผมกระโดดโลดเต้นใหญ่เลย ผมพยายามกระโดดแล้วแต่ด้วยความยืดหยุ่นก็ไม่สูงเท่านี้ก็เลยตกรอบไป
ส่วนสัตว์อีกประเภทนึงที่ผมชอบก็คือปูเสฉวน ด้วยความที่เป็นปูแต่ต้องหาเปลือกหอยอยู่เลยทำให้ผมสามารถจับขึ้นมาได้เดินบนมือก็จักกะจี้ดี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายมันเลย พอชื่นชมความน่ารักแล้วก็ปล่อยสู่พื้นทรายเช่นเดิม

จากนั้นก็ไปดำน้ำต่อ แล้วก็กลับฝั่ง กิจกรรมวันนี้ทำเอาเราเหนื่อยเลยทีเดียวเลย
ถึงที่พักก็กินมาม่าและขนมกันจนเกือบหมด จึงต้องเดินไปหาซื้อเสบียงเพิ่มเติม
เดินไปไม่ไกลอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนก็พบร้านค้าของคนท้องถิ่นนั้นคิดราคาไม่แพงเลย คือบวกไม่มาก เท่ากับเกาะเต่าที่ผมเคยไป ราคาน้ำอัดลมกระป๋องละ 20 บาท ขนมซองก็จาก 25 เป็น 30 ก็ถือว่าเป็นน้ำน้ำมันของเรือเลยก็ได้ เมื่อซื้อแล้ว เดินไปอีกหน่อยก็เจอขนมโตเกียวด้วย ชุดละ 20 บาทแต่รสชาติอร่อยมากๆครับ กินเพลินเชียว

มื้อเย็นไม่คิดอะไรมากกินกันตรงที่พักเลยครับ เพราะเดินไป Walking street แล้วไม่ค่อยเจอร้านอาหารเลย
อาหารเย็นมื้อนี้มี หมูมะขาม ยำคอหมูย่าง แกงเขียวหวานไก่ น้ำพริกกุ้งเสียบ ซึ่งรสชาติเผ็ดร้อนมากๆ เมื่อกินแล้วทางแม่ครัวก็เดินมาคุยกันด้วย ได้ความเป็นกันเอง แถมแกยังเล่าประวัติชีวิตตัวเองก็เห็นถึงความต่อสู้ชีวิตมากๆ และแกยังเลยเจอประสบการณ์ซึนามิด้วย ฟังแล้วก็ชื่นชมแกมากๆเลย ถ้าไปพักที่นี่ อย่าลืมลองทานดูนะครับ อร่อยจริงๆ 

เมื่อกินเสร็จแล้วก็กลับที่พักแล้วก็หลับอย่างไร้สติเลยทีเดียว

ผ่านไปสองวันเองนะครับ วันที่สามยังมีสถานที่เด่นๆ แนะนำอีก
ไปชมกันต่อเลย Click

face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)