Zhangjiajie | Part 2/2 หุบเขาอวตาล ณ วันที่ 11-17 April 2013

<<<<< Part 1/2

วันที่ 14 เมษายน 2556
ตื่นตอนตีห้าครึ่งอีกวัน เพื่อที่จะได้ไปเที่ยว hi-light ของ trip นี้ นั้นก็คือ หุบเขาที่เป็นต้นกำเนิดของเกาะลอยฟ้าของแพนโดลา ในหนังเรื่องอวตาร ลงมาทานอาหารเช้าตอนหกโมงครึ่ง อาหารการกินสำหรับผมแล้วอร่อยถูกปากแม้จะมีผักเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องความมันนี่เป็นที่หนึ่งเลยครับ

หลังจากทานข้าวแล้วก็ขึ้นรถไป ซึ่งสถานที่แรกก็คือจะพาไปนวด เราก็ไม่เคยนวดเป็นคนบ้าจี้อีกตังหาก ก็กลัว ไม่อยากให้เค้านวด พอไปถึงประมาณ 9โมงก็เข้าห้องเลย ซึ่งไกด์ขอความกรุณาให้เข้าทุกคนไม่งั้นจะโดนปรับ(หรืออดได้ TIP ก็ไม่รู้) พอเข้าไปในห้องก็เห็นถึงความอลังการของที่นั้นเก้าอี้ที่นั่งสบาย แถวหนึ่งหกตัว แบ่งข้างล่ะสามตัว นั่งสบายมากๆ มีที่วางขาด้วย นั่งสักพัก็มีน้ำมาให้แช่เท้าด้วยคงจะกลัวกลิ่นรึเปล่า แต่นั้นเป็นสมุนไพรครับ แก้ได้หลายโรคเลยแต่จำไม่ได้ซักโรค 


เมื่อได้แช่เท้าแล้วก็มีผู้ชายคนจีนเดินเข้ามาทักทายต้อนรับ แล้วก็บอกว่าบริการนวดนี้ฟรีห้ามให้ทิปใดๆ จากนั้นก็เสนอสินค้าต่างๆไม่ว่าจะบัวหิมะ ผงแช่เท้า กอเอี้ย ดีหมี แล้วก็อีกอย่างที่แพงๆ นี้แหละ โดยบอกสรรพคุณต่างๆ แล้วก็มีบริการกำลังภายในรักษาโรคให้ฟรีให้อีก อะไรจะดีขนาดนี้เนี้ย จากนั้นก็มีหมอนวดจีนมาให้ ซึ่งเธอก็ตั้งใจนวดอย่างดี เพื่อนผม และคุณพ่อคนนึงโดนแยกเดี่ยวไปอีกห้องเนื่องจากหมอมาดึงตัวไปจะใช้กำลังภายในรักษาให้ เหลือผมอยู่คนเดียว หมอนวดก็เริ่มขายสินค้าผมล่ะ คุยไปสักพักเพื่อนผมกลับมาพร้อมกับบอกว่าโดนหลอกขายของ จากนั้นนวดอยู่นานเพื่อนผมก็ซื้อบัวหิมะขวดนึงด้วยความเกรงใจ และผมก็ได้กอเอี้ยมากล่องนึงเพราะเห็นถึงความพยายามของหมอนวดคนนั้น 

ใช้เวลาเพลิดเพลินมากๆ ใช้ไปสองชั่วโมง (หมายความว่าเรามีเวลาเที่ยวลดลงไปอีก 2 ชม) เสร็จสิ้นเหลือผู้รอดชีวิตจากการซื้อของอยู่สองคน เพราะเค้าออกมารอด้านนอก ที่เหลือมีของติดไม้ติดมือออกมา การตลาดที่นี่ดีจริงๆครับ

เดินทางไปอุทยานจางเจียเจี้ยแล้วครับ
ด้านหน้าอุทยาน ยังไม่เห็นถึงความเป็นหุบเขาเท่าไหร่ เพราะต้องนั่งรถต่อไปยังจุดที่เราต้องการ ซึ่งผมดูแล้วมีที่เที่ยวหลายจุดครับ แต่จะไปไหนนะหรอผมเลือกเองไม่ได้ ไกด์พาไปจุดที่น่าสนใจ ซึ่งจุดแรกที่ไปเรียกว่า ธารน้ำแส้ทอง หรือ จินเปียน 


ซึ่งทางไกด์บอกว่าชาวจีนเปรียบเสมือนลมหายใจมังกร ระยะทาง 8กิโลเมตรครับหากเดินไปเรื่อยจะได้รับอากาศบริสุทธิ์ และสุขภาพร่างกายเราก็จะแข็งแรง สาเหตุที่เป็นแส้ทองเพราะสายน้ำที่โดนแดดกระทบจะออกเป็นแสงสีทอง ตอนผมเดินไปก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ แต่สายน้ำสีทองรึเปล่า ผมดูแล้วมันก็เหลืองๆ นั้นแหละครับ 
เดินไปสักพักก็เริ่มใกล้หมดเวลาก็ต้องเดินกลับครับ เพราะว่าต้องมีอีกหลายจุดที่ต้องไป กลับมาที่จุดนัดพบแล้วก็ขึ้นรถต่อ ตอนนั้นเวลาประมาณ บ่ายโมงครับ ซึ่งตอนแรกไกด์บอกว่าจะไปกินข้าวก่อน แล้วอ้อมกลับมาดู แต่ทุกคนก็ขอเที่ยวก่อน แล้วค่อยออกไปกินข้าว

จุดต่อไปที่จะไปชมคือ ภาพวาดสิบลี้ครับ
ตามที่ผมเข้าใจคือการชมวิวตามทางแล้วเห็นภาพเหล่านั้นเป็นภาพวาดครับ ซึ่งก็มีการจินตนาการว่าเป็นคนเก็บผลไม้บ้าง พี่สาว น้องสาว หนังสือ อะไรบ้างต่างๆ นานาครับ แล้วแต่จินตนาการครับ การชมวิวนั้นทำได้สองแบบคือ นั่งรถราง หรือเดินครับ ซึ่งทัวร์ผมก็เก็บตังไปแล้วก็เลยได้นั่งรถรางครับ

เมื่อเดินทางไปสุดทางก็ให้เวลาชม 15 นาทีแล้วก็กลับ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ชมมากครับ ก็ถ่ายรูปมาตามด้านบนครับ ธรรมชาติสวยงามมากๆ แม้อากาศจะร้อนหน่อยๆ ก็ตามครับ จากนั้นก็นั่งรถกลับแล้วก็ออกจากอุทยานไปทานเข้าวกัน ตอนซื้อทัวร์เขียนว่ากินในอุทยานนี้น่า เสียเวลาเดินทางจัง

ถ่ายภาพอาหารมาให้ชมครับ น่ากินมั้ย อาหารจีนผมเบิ้ลสองตลอดเลย ผมเกิดเป็นคนจีนได้เลยนะนั้นกว่าจะกินเสร็จแล้วเกือบจะสามโมงล่ะ ก็นั่งรถกลับอุท่ยานเพื่อไปดู Hi-light ครับ
เข้าอุทยานมา ต้องนั่งรถมาที่จุดนี้เพื่อขึ้นกระเช้าครับแล้วก็ต้องเสียตังเพิ่มอีก ซึ่งรวมอยู่ในทัวร์ แต่ประเด็นคือคนเยอะมาก ตอนนั้นประมาณสามโมงผมก็กลัวว่าจะไม่ได้ขึ้น แต่สุดท้ายคนที่รอก็ได้ขึ้นครับ
ครั้งนี้ขึ้นกระเช้าไม่กลัวเท่าไหร่ครับ ร่างกายปรับได้แล้วก็ดูความสูง ความเสียว ดูบรรยากาศรอบๆ สวยมากๆครับ ต้องลองมาครับ หลังจากได้ขึ้นกระเช้าไปแล้ว ก็ต้องนั่งรถต่อ 
ซึ่งก็ต้องต่อแถวตามระเบียบ มีจุดชมวิวให้ถ่ายรูปสวยๆ ด้วยครับ
เมื่อลงจากรถแล้ว ก็จะมีสวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลงบนเขาด้วย แปลกใจเล็กน้อยว่าชาวจีนขึ้นมาสร้างได้อย่างไร เพราะว่าอยู่บนเขาสูงซะขนาดนั้น ที่นี่ผมมาแล้วประทับใจครับ แต่คนอื่นบอกว่ามาทำไมเนี้ย เสียเวลา เดินชมสักพักก็กลับไปรอรถเพื่อไปดูหุบเขาอวตาร (กว่าจะไปถึงหลายต่อมากๆ) ที่สวนนี้ห้องน้ำค่อนข้างไกล ไกด์คนไทยพาไปหาห้องน้ำแต่ไม่เจอครับ เลยให้ลูกทัวร์ไปขึ้นรถเพื่อไปอีกจุดที่มีห้องน้ำ ไกด์ไทยบอกว่านั่งรถประมาณ 5 นาทีก็ถึงครับ

จะขึ้นรถตู้ก็ต้องต่อแถวอีก แล้วไกด์คนจีนก็บอกว่าเราจะนั่งรถประมาณ 40 นาที ผมละสงสารพี่เค้าจังปวดฉี่แล้วต้องต้องนั่งรถอีกนานอีก พอได้นั่งรถครั้งนี้เป็นรถตู้แบบยืนไม่ได้ครับ เส้นทางทรหดมากๆ เลี้ยวไปมา เหวี่ยงกันจนหมดแรงเลยครับ

แล้วก็ถึงแล้วสำหรับ Hi-light ของหุบเขาอวตาร
เดินเข้ามาแรกๆ มีร้านกาแฟซักอย่าง บนหุบเขา หากมีเวลามานั่งกินคงจะชิวมากๆ เลย แต่ทัวร์นี้ก็ต้องรีบเดินไปยังอีกจุดนึงใช้เวลาประมาณ 40 นาทีครับ (ต้องเดินอย่างเดียว ขาก็เริ่มล้าแล้ว) ระหว่างทางสวยๆมากๆครับ มองออกไปเป็นภูเขาสูงใหญ่ กับเหวลึก
กิจกรรมนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทยก็คือการถ่ายรูปครับ ผมว่าผมบ้ากล้องถ่ายรูปแล้วนะ บางคนนี้ถ่ายจุดชมวิวแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน ถ่ายทุกท่าเลยครับ กักที่กันสุดๆ
เดินไปสักพัก ไกด์ก็บอกว่าที่นี่ให้ไปดูสะพานใต้หล้า แต่ไม่บอกว่าอยู่ไหนครับ(น่าตีไกด์จริง) ผมมารู้อีกทีตอนกลับขึ้นเครื่องบินถามไกด์ข้างๆ เพราะว่ามีหลายเสียงบอกว่าเป็นสะพานเหล็กบ้าง หรือบอกว่าไกด์ไม่ได้พาเราไปดูบ้าง ซึ่งก็ได้คำตอบว่า สะพานใต้หล้านั้นอยู่ด้านบนครับ เกิดจากการถล่มของภูเขาทำให้เหลือทางเชื่อมต่อเท่านี้ครับ กล้าไปเดินมั้ยละครับ 
ต่อไปจะมีสะพานวัดใจครับ ซึ่งด้านล่างก็เป็นเหวอย่างเดียว สูงมากๆ มองทะลุลูกกรงแล้วก็ขาแข็งเลย รีบๆ เดินแบบไม่ดูด้านล่าง
มาถึงจุดชมวิวอีกจุด เห็นคนถ่ายรูปเต็มเลย ผมดูก็ว่าสวยนะ แต่ทางไกด์ไทยผมบอกว่ามีสวยกว่านี้เลยให้รีบเดิน พี่ไกด์ไทยก็อาสาถ่ายรูปให้ รวมกันสามคนเลย ซึ่งก็ได้ภาพขวามือบนครับ หารู้มั้ยว่าจุดตรงนี้คือจุดที่เหมือนในอวตารมากที่สุด ผมรู้ตัวอีกทีตอนคุยกับไกด์ทัวร์อื่นบนเครื่อง นึกแล้วก็เจ็บใจ เพราะเราอยากมาที่นี้เพื่อถ่ายรูป แต่ไกด์เรากลับไม่บอก หลอกให้เราถ่ายรูปแบบไม่สวยซะงั้น
เดินมาอีกสักพักเจอสัตว์ในอวตารด้วย อยากจะถ่ายน่ะ รอนานเพราะพี่คนไทย รอถ่าย แก้แล้วแก้อีก ก็เลย ถ่ายรูปคนอื่นไปก่อนละกัน

จากนั้นผมกับเพื่อน ก็เดินมาสุดปลายทางก็เป็นกลุ่มสุดท้ายอีกตามเคยครับ กิจกรรมต่อไปคือการลงลิฟท์แก้วไป่หลงซึ่งพี่ไกด์บอกว่าจะสวยและเสียวมากๆ ผมชำเรืองนาฬิกา ก็เกือบจะหกโมงกว่าๆแล้วจะทันไหมน้า
ลงทันครับเพราะเค้าต้องพาคนลงให้หมด แต่พอเจอฝูงชนก็ถอดใจเพราะว่าเยอะมากๆ บางช่วงไม่ขยับเลย นิ่งสนิทยืนเป็นชั่วโมง ก็เริ่มมืดมองไม่เห็นอะไรเลย ต่อแถวจนถอดใจ พอเข้าลิฟท์ก็เห็นว่ามีอยู่ 326 ชั้น ผมยืนชิดกระจกเลย ไม่เห็นอะไรเลยครับ เห็นพื้นด้านล่้างว่ามีรถมารับอย่างเดียว พอลงลิฟท์ก็ไม่เห็นวิวอะไรเลยครับ เสียดายที่สุด เลย แต่ก็มีหลายทัวร์ที่ไม่เห็นเช่นเดียวกัน ทำให้รู้ว่าเทศกาลไม่ควรมาอย่างยิ่ง (คงมัวแต่ไปนวดเท้านานเกิน เลยพลาดจุดชมวิวไป)
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง ก็พยายามจะถ่ายรูป แต่ก็ทำไม่ได้เห็นได้เท่านี้แหละครับ จากนั้นขึ้นรถก็บ่นเสียดายกันใหญ่เลยครับ แล้วก็ไปทานข้าว กลับที่พักนอนหลับไปตามระเบียบ

วันที่ 15 เมษายน 2556
ตื่นเช้าหกโมงครับ วันนี้ออกสายได้เพราะกิจกรรมน้อยหน่อย ลงมาทานข้าวก็เจอะคนเกาหลีมากับเต็มโรงแรมเลย มารยาทนี้สุดๆ ข้าวหมดก็ใช้ช้อนเคาะกับถาดเสียงดัง แล้วก็ด่าเป็นภาษาเกาหลี ผมละงงว่าพนักงานจีนจะรู้เรื่องมั้ย เรียกว่าเป็นตัวเองสุดๆ ส่วนที่นั่งก็ต้องแย่งกันนั่งด้วย เห็นบางคนแบบชำเรืองหมูหยองของพี่ไกด์เราด้วยแฮะ ตลกดี

จากนั้นออกเดินทางชมถ้ำหลงหวังต้ง (ถ้ำพญามังกร)
ซึ่งมาถึงที่นี่ค่อนข้างเช้าคนน้อยอยู่ครับ ดูด้านหน้าแล้วไม่เห็นถึงความเป็นถ้ำครับ แต่พอผ่านประตูเข้าไป ก็มีทางลงดังภาพครับ ข้างในแรกๆอากาศเย็นครับ แต่เดินไปเรื่อยๆ เริ่มร้อน หรือว่าเค้าติดแอร์เฉพาะทางเข้านะ

เข้าไปก็เห็นถึงจินตนาการว่าหินย้อยแต่ละอันเป็นอย่างไร มีทั้งข้าวโพด พระ ใบไม้ มือ อะไรกันเยอะแยะเลยครับ ซึ่งไกด์ก็บ่อยให้เราเดินเอง ซึ่งผมกับเพื่อนผมก็เดินไปจนสุดแล้วก็กลับขึ้นมา คนอื่นก็รอพวกเราอีกตามเคย
จากนั้นเดินทางไปกินข้าวซึ่งร้านนี้ดูแบบว่า Hi-so หน่อย ปกติจะมีหัวปลา พอเรา Request ว่า ขอปลาเป็นตัว ไกด์ก็จัดให้ทันทีเลยครับ อาหารอร่อยครับมื้อนี้

ทานข้าวแล้วก็ไปชมผ้าไหม ซึ่งก็มีเป็น Series มากมาย ซึ่งยิ่งรุ่นใหม่มากก็ยิ่งแพง แต่ก็มีโปรโมชั่น เรียกได้ว่าซื้อ แถม แจก ลดกันเลย แต่ราคาก็ไม่ใช่เบาๆ นะ จะเน้นเป็นผ้าห่มซะส่วนใหญ่ครับ
ชมผ้าไหม แต่ผมได้กินไอติมครับ ให้เพื่อนผมต่อรองราคาให้เพราะอยากกินสุดๆ เรียกได้ว่าแม็คนัมโรยงาละกันครับ

จากนั้นเราก็จะได้ไปล่องเรือทะเลสาบเป่าเฟิงหู ซึ่งพอมาถึงก็เห็นหุบเขาสวยงามมากๆครับ แต่กว่าจะได้ไปลงเรือก็ต้องเดินขึ้นเขาด้วย ซึ่งก็เมื่อยมาจากการเดินหลายวัน
แต่ละคนเมื่อยล้ากันมากๆ มีขึ้นเกี้ยวด้วยครับ แต่ดูแล้วเสียวกลัวไม้ไผ่จะหักครับ ลองถามราคาดูก็คิดไปกลับ 400 หยวนครับแหนะ แล้วยังมีไปแอบถามคนนั่ง เค้าจ่ายแค่ 300 หยวนเอง
ระหว่างทางเดินอากาศสดชื่นมากๆ ค่อยๆเดินลงไปเจอทะเลสาปแล้ว Amazing มากๆ มีเรือหลายลำจอดรอเราอยู่

มาที่นี่จะมี อาเม่ย กับ อาเกอ มาค่อยร้องเพลง ซึ่งหากใครถูกใจก็ต้องร้องเพลงกลับ เพื่อขับรับ ซึ่งเป็นประเภณีของคนจางเจียเจี้ยด้วยครับ ถ้าร้องแล้วเค้าร้องกลับนี่ต้องพากลับเมืองไทยด้วยนะครับ แต่ด้วยความกล้าของทัวร์ผม เงียบกันทุกคนกลัวการรับผิดชอบ เหลือเพียงปรบมือชื่นชมอย่างเดียว
จากนั้นก็ลงจากเรือแล้วก็เดินกลับครับ ทางกลับก็ไม่ลำบากเพราะเป็นทางลงครับ แต่ทางเดินก็ธรรมชาติกันมากๆครับ
เดินมาซักพักก็เจอบ่อน้ำซึ่งมีปลาซาลามานเดอ ซึ่งเค้าถือว่าเป็นสัตว์นำโชค ผมทางไกด์จีนว่า คนจีนกินมั้ย เธอก็บอกว่ากินครับ คิดในใจว่าคงกินแล้วจะโชคดีแน่ๆ  จากนั้นเดินมาเจอน้ำตกครับ ซึ่งน่าจะทำขึ้นมาเองแน่ๆ แต่ก็งดงามครับ มีเวทีด้วยก็คาดว่าจะมีการแสดง ซึ่งฉากนี้เป็นฉากนึงให้ไซอิ๋วครับ และตรงนี้เองจะมีสาวชาวเมืองคอยวิ่งถ่ายรูปด้วย ซึ่งค่าตัวเธอ คือ 5 หวนครับ แต่มาทีนึง สามคน ก็เยอะ เหมือนกันนะ มีคนนึงน่ารักด้วยอยากถ่ายด้วยแต่ไม่อยากจ่ายเงิน ฮ่า ฮ่า ของแอบชี้อยู่ห่างๆ ละกัน
จากนั้นก็พาไปเข้าร้านค้ารัฐบาลขายชาครับ ซึ่งคนที่จะตกเป็นเป้าหมายคือคนอ้วนลงพุง อายุมาก แต่สำหรับผมรอดตัวไป ตัวผอม หน้าเด็ก(คิดเข้าข้างตัวเอง) คนขายนี้สวยมากๆ หุ่นดีมากๆ 

จากนั้นก็ไปร้านหยกต่อ รูปขวามือครับ ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าเคยมาเรียนที่ประเทศไทยครับ เค้ารักประเทศไทย และอยากที่จะเก็บตังสร้างโรงเรียนในจางเจียเจี้ยครับ และหากใครสนใจพวกบ้านที่ประเทศจีนก็บอกเค้าได้ครับเค้าทำเช่นกัน (ทำหลายอย่าง) โปรโมทชั่นเด็ดของเค้า คือ คนไทยจะซื้อหยกนั้นจะลดราคาให้เหลือแค่ 10 % ครับ ลดเยอะแบบนี้ก็น่าสน แต่พอไปดูราคา แสนหยวน หรือเป็นหมื่นหยวน ก็เลยขอดูแบบหยวนๆ ก็พอครับ ชมเสร็จแล้วก็ไปทานข้าวเย็นครับ

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วของการท่องเที่ยว "อยากจะร้องให้ อยากหยุดวันเวลาไว้ นั้นไว้ ...." (เป็นปาล์มมี่ ตามกระแสพี่มาก) แต่ทำไม่ได้ ก็ต้องเต็มที่ครับ อาหารที่กินก็อร่อยอีกตามเคย ตามภาพด้านล่างซ้ายบน


จากนั้นกลับโรงแรมเลยขอเดินออกมาหน่อยสำหรับคืนสุดท้าย ก็ไปเดินร้าน Super market แล้วก็เจอรถเข็นครับ ผมขอเรียกว่าผัดไทยละกัน เพราะว่ามันเหมือนมากๆ เป็นเด็กวัยรุ่นขายครับ ผมก็คุยไม่ค่อยรู้เรื่องก็ใช้เพื่อนช่วยสั่งให้ครับ 10 หยวนแพงเหมือนกันแต่ก็ขอลอง พอทำไปเรื่อยๆ เอ้ย ใส่แต่ไข่ไม่ใส่หมู เลยถามเค้า เค้าบอกว่าถ้าจะใส่หมูเพิ่ม 5 หยวน ด้วยความที่กินเนื้อไปแล้วต่อนเย็นเลยไม่เพิ่มตังครับ พอตักใส่จาน ก็เยอะมากๆครับ ผมนั่งกินข้างทางเลยจะได้บรรยากาศสุดๆ ซึ่งก็กินหมดจานผมรู้สึกว่าอร่อยมากๆครับ คนขายก็มานั่งคุยแต่ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ คนขายเห็นเพื่อนผมซื้อน้ำกล่องมาแต่ไม่มีถุงเค้าก็ไปเอาถุงมาใส่ให้ แล้วก็มัดให้อย่างสวยงาม เค้าละเอียดมากๆ ประทับใจจริงๆ ครับ

กินเสร็จแล้วอิ่่มมาก เพราะว่าพึ่งไปกินข้าวเย็นมา จากนั้นก็กลับห้องพัก นั่งแพ็คของเพื่อเตรียมกลับในวันพรุ่งนี้


วันที่ 16 เมษายน 2556
สวัสดีตอนเช้า วันสุดท้ายของจางเจียเจี้ย เวลาเที่ยวมักผ่านไปเร็วเสมอครับ วันนี้เก็บของเอากระเป๋ามาวางไว้หน้าห้องจากนั้นเค้าก็ทำความสะอาดเลย ทำเร็วมากๆครับ ทานข้าวแล้ว ก็นั่งรถไปชมภาพวาดด้วยทราย
ซึ่งที่นี้เค้าก็มีขายด้วยครับ มีราคาถูกจนถึงแพงเลยครับ แต่สำหรับผมก็แค่ดูแต่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของก็พอล่ะ ภาพ เหมือนจริงมากๆครับฝีมือละเอียดสวยงามมากๆ ที่นี่ห้ามถ่ายรูป เลยนำมาให้ดูแต่ด้านหน้าครับ
หลังจากชมเสร็จแล้ว ก็ออกมานั่งรอรถ เพราะมีคนซื้อรูปเลยใช้เวลานานหน่อยครับ ผมออกมาถ่ายรูปเล่นเป็นที่ระลึกก่อนออกจากจางเจียเจี้ยครับ จากนั้นก็นั่งรถตรงไปใจกลางเมืองฉางซาเพื่อ shopping ครับ นั่งรถประมาณสี่ชั่วโมง รวมกินข้าวเที่ยง กว่าจะถึงก็ประมาณ สี่ห้าโมงครับ
เมื่อได้ลงแล้วก็มีเวลาสองชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ดีใจเพราะอยากซื้อของมากๆ แต่พอไปเดินแล้ว บางห้างก็เปลี่ยวเหลือเกิน มีร้านมียี่ห้อแต่ผมก็ไม่ชำนาญเท่าไหร่เลยได้แต่ดู ที่อยากดูคือร้าน CD แต่ก็หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอครับ
เดินๆไปก็มีคนบอกว่ามีเต้าหู้เหม็นก็เลยแวะเข้าไปดูแต่คนต่อแถวนานมา เลยเดินต่อไปก็เจอร้านเล็กๆมุมนึง คนไม่เยอะครับ ชิ้นละหยวนครับ ผมกินแล้วอร่อยดีครับ ชอบ รสชาติถูกปากผมแต่เพื่อนผมไม่ชอบครับ จากนั้นก็ไป Walmart ซื้อของกินแล้วก็กลับมารอที่จุดนัดพบที่ Dairy Queen ซึ่งที่นี่ค่อนข้างแพงครับ ไอศรีมแก้เล็ก 19 หยวน เกือบร้อยและ อยู่เมืองไทยแค่ 30 บาทเองจากนั้นก็ขึ้นรถไปทานอาหารมื้อสุดท้าย
แล้วก็ไปสนามบินครับ สุดท้ายแล้ว ก็ขอถ่ายรูปคู่กับเพื่อนผมก่อนจากกันละกัน
พบกันทริปหน้านะครับ

สวัสดี

face2cu



ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ17 ตุลาคม 2556 เวลา 23:23

    ทำreviewได้ละเอียดมาก รูปก็สวยงาม ขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)