Zhangjiajie | Part 1/2 หุบเขาอวตาล ณ วันที่ 11-17 April 2013

ช่วงก่อนสงกรานต์ เพื่อนผมชวนไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งดูไว้งบไม่เกินหมื่นห้า (ประหยัดไว้ก่อน) แต่แล้วก็ต้องขยายงบเพราะอยากไปจีนประจวบเหมาะกับเพื่อนผมยังไม่เคยไปที่นี่เช่นเดียวกัน ก็เลยเพิ่มงบแล้วก็หาทัวร์ไป จางเจียเจี้ย  ซึ่งผมก็ดูไว้สองที่ คือ OceanSmile (เพื่อนไปหามา) และ Tripdeedee (มีคนบอกผมว่าเคยไปแล้วประทับใจ) ไม่รอช้าผมติดต่อ Tripdeedee จองอะไรเรียบร้อยเสร็จสิ้น แล้วก็รอไปอย่างเดียวครับ

แต่แล้วทาง Tripdeedee บอกว่าจะส่งต่อ เราก็รู้สึกตกใจว่าแล้วมันจะดีมั้ยแต่ในเมื่อจ่ายตังไปแล้วก็ไม่คิดมาก สุดท้ายส่งตารางมา กลับได้ไปกับ OceanSmile ซะงั้นง่ะ

วันที่ 11 เมษายน 2556
เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ไปเจอทัวร์ประมาณ ห้าทุ่ม (หมดไปหนึ่งวันอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องนับก็ได้ ว่า หกวันสี่คืน)

วันที่ 12 เมษายน 2556 ~ เที่ยวเมืองโบราณเฟิ่งหวงยามค่ำคืน

ตรวจตม. เสร็จก็เข้าไปรอขึ้นเครื่อง ผมเดินทางด้วย CZ หรือ China Southern Airlines ซึ่งก็ Delay ไปครึ่งชมเลยได้ออกจากเมืองไทย ประมาณ ตีสามครึ่ง จากนั้นก็ถึง Changsha airport ประมาณ หกโมงกว่าๆ ผ่านตม.จีน อย่างรวดเร็ว แต่รอกระเป๋านานจนนึกว่ากระเป๋าหาย กว่าจะออกจากสนามบินก็แปดโมงกว่าๆล่ะ


จากนั้นไกด์ก็พาเราขึ้นรถ เพื่อไปทานข้าว แล้วพอไปถึงร้านอาหารด้วยฝูงชนมหาศาล(โดยเฉพาะคนไทย) ต้องรอถึงเที่ยงถึงจะได้กิน  ไกด์ก็เลยจัด KFC ให้ทานบนรถแทน จากสนามบินไปมุ่งตรงไปเมืองโบราณเฟิ่งหวงซึ่งใช้เวลาแค่หกชั่วโมงเอง

ตอนนั้นดูเวลาแล้ว 9 นาฬิกา จะไปถึงก็น่าจะสามโมง นั่งบนรถว่างๆ ก็ถ่ายรูปไป มีแวะปั้มเข้าห้องน้ำ (วันนี้ไม่ต้องทำอะไรนั่งอย่างเดียวหมดวัน) แต่จริงๆ แล้วเรายังมีแวะกินข้าวอีกชั่วโมงกว่า(รูปซ้ายมือ) กว่าจะไปถึงเมืองโบราณเกือบห้าโมงเย็นกินข้าวเย็นต่อ เมื่อกินข้าวเสร็จก็เข้าห้องพัก แล้วก็ออกมาเดินชมเมืองโบราณตอนสองทุ่มครึ่ง
ขณะที่เดินที่นี่ก็ไม่ผิดหวังเพราะพวกชอบชิมแบบผมเนี้ยอยากลองไปซะทุกอย่าง ส่วนการซื้อขายก็ภาษาจีนกับภาษามือ ไม่ต้องไปใช้อังกฤษเพราะเค้าฟังไม่ออก(ผมก็ใช่ว่าจะพูดเก่งซะด้วยซิ)
แถมอีกภาพสำหรับบรรยากาศในตอนเดินอากาศค่อนข้างเย็น ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะอึดซะเท่าไหร่ ก็ใส่เสื้อผ้าเต็มที่เลย

เพื่อนผมเคยมาเรียนที่จีนก็แนะนำนมกระป๋อง(รูปด้านซ้ายมือ) ก็ซื้อเลยไม่คิดมาก แต่ราคาบางอย่างก็แพงกว่า แต่ก็ต้องทำใจเพราะที่นี่ดูเหมือนผูกขาดไม่มี Seven Eleven เลย แต่ไหนๆ มาแล้วก็ต้องลอง เดินๆ อยู่ถูกใจคนขายเพราะโดนคนขายชมเลยซื้อขนมดพื้านบ้านเลย(รูปด้านขวามือ) เหมือนขนมไข่บ้านเราถุงนึงสิบหยวนสิบชิ้น คิดไปคิดมาก็แพงอยู่นะเนี้ย เดินไปซักพักเริ่มง่วง เพราะไม่ค่อยได้นอนบนเครื่อง ก็กลับห้องพักตอนสี่ทุ่มครึ่ง

กลับมาก็หนาวเหลือเกินขนาดแค่สิบกว่าๆองศาเองนะเนี้ย Heater ก็ไม่มีหลับแบบไม่มีสติเลย วันนี้

วันที่ 13 เมษายน 2556 ~ ล่องเรือเมืองโบราณเฟิ่งหวง,บ้านของกวีเสิ่นฉงเหวิน,เขาเที่ยนเมินซัน,ชมโชว์จิ้งจอกขาว
ตื่นตอนตีห้าครึ่ง มาพร้อมกับต้องรีบเก็บของเพื่อย้ายโรงแรมเรื่องอาหารเช้าสำหรับผมแล้วเริ่มปรับตัวได้กินได้อย่างอร่อยเลย รีบขับถ่ายให้เสร็จเพราะกลัวการขับถ่ายระหว่างทางสุดๆ จากนั้นก็เดินไปที่จุดเดิมที่เมื่อคืนเดินกัน

บรรยากาศต่างๆ ก็เปลี่ยนไปผมเดินไปที่สวนแล้วรู้สึกชอบมากๆ สัญลักษณ์ที่นี่คือ นกฟินิกส์ ซึ่งตอนกลางคืนก็จะสวยแบบนึง แต่พอตอนเช้าก็ดูเด่นอีกแบบนึง แต่เช้านี้คนเยอะมากๆ ครับ เพราะทัวร์ลงหลายทัวร์มากๆ โดยเฉพาะคนไทย เกาหลี จากนั้นเดินไป บ้านของกวีเสิ่นฉงเหวินซึ่งก็งง ว่ามุงอะไรกันเยอะ ขนาดนี้เพราะเป็นแค่บ้านหลักเล็กๆ (ภาพขวามือล่างสุด)


ผมเชื่อว่าหากใครที่รู้จักเค้าแล้วได้มาคงจะเห็นว่ามีคุณค่า แต่ผมไม่รู้จักเค้าก็เลยขอดูผ่านๆ แต่ที่นี่ก็เห็นถึงความเป็นอยู่ของคนโบราณ และมีแม้กระทั่งกระดาษที่่เค้าเขียนด้วย

ขอถ่ายรูปอีกหน่อยครับ

หลังจากนั้นก็ไปล่องเรือซึ่งอากาศดีมากๆ ชอบสุดๆเลยครับเหมือนอยู่ในโลกของหนังจีนเลย
ล่องเรือไปเรื่อยๆ ชมวิวเพลิน ก็จะได้ยินเสียงคนพายเรือร้องเพลงด้วย บางลำคนนั่งก็ร้องด้วย สนุกดี จากนั้นขึ้นจากเรือ ก็เจอร้านขนมพื้นบ้าน ก็ซื้อกินซะเลย
ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร เป็นแป้งเค็มๆ กับไข่ดาวพร้อมกับแฮมราคาห้าหยวน ผมชอบครับอร่อยดี จากนั้นก็ขึ้นรถเดินทางไปเพื่อนั่งกระเช้าไปดูประตูสวรรค์ นั่งรถอีกแค่สี่ชั่วโมงเอง ตอนนั้นประมาณสิบโมงก็ออกจากเมืองโบราณ  ก็นั่งไปเรื่อยๆก็แวะกินข้าวระหว่างทางจากนั้นก็เดินทางต่อเพื่อไปเขาเที่ยนเมินซัน (ภูเขาประตูสวรรค์)

ด้วยความที่ว่าตัวเองเป็นคนที่กลัวความสูง หัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมากทันที แต่นี่เป็น Hi-light ที่ทุกคนต้องขึ้นถึงจะได้ไปที่ประตูเทียนเหมินซัน ส่วนกิจกรรมนึงที่เกิดขึ้นจนชินสำหรับ Trip นี้ก็คือการต่อแถว ซึ่งก็ต้องกระชับพื้นที่อย่างดีไม่งั้นจะโดนคนจีนและเกาหลีแซง ต่อไปเรื่อยๆใช้เวลาค่อนข้างนานก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว เลือดลมสูบฉีดมากๆ ตอนได้นั่ง

โฉมหน้าผู้นั่งกระเช้า โดยกระเช้าที่นี่เริ่มตั้งแต่ในเมืองเลย ค่อยๆ ลอยเข้าไปในภูเขา เข้าออกทางเดียวครับจะเสียวทุกครั้งที่กระเช้าผ่านเสา เพราะมันจะมีเสียงดังและกระเช้าสั่นไหว  เสียวกันตลอด ส่วนผมก็ขาแข็งเลย ต้องหาที่เกาะ พอเริ่มผ่านเมืองไป ข้ามเขาลูกแรกก็เริมเห็นถึงธรรมชาติที่สวยงามพร้อมกับความสูงสะท้านฟ้า ไปชมภาพกันเลย
 เริ่มเห็นถึงธรรมชาติที่สวยงามมากๆ
 ยิ่งไปยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆครับ ไม่อยากจะมองพื้นเลย
 มองไปทางเขาก็มีถนนด้วย ในใจก็คิดว่าใครจะมาขับเนี้ย อันตรายมากๆ ขับไม่ดีตกลงไปเกิดใหม่อย่างเดียวครับ
 ถ่ายมุมเงย ชีวิตถูกแขวนบนสลิงเส้นเดียว สูงจริงๆ
หันหลังกลับมาก็เห็นถนน ก็ตกใจทำไมมันถึงโค้งไปมาหลายโค้งจริง (แล้วเราจะต้องไปนั่งรถผ่านโค้งพวกนี้ด้วย)
 ด้วยความที่ไกด์บอกว่าให้ลงสถานีที่สาม แต่เราก็งง เพราะว่ามาสุดทางก็เข้าใจว่าถึงแล้ว อีกอย่างโดนพนักงานจับดึงออกมาด้วย กระเช้าข้างหน้าก็ช่วยกันตะโกนว่าห้ามลง แต่ก็สายไปเสียแล้ว เลย ต้องหากระเช้านั่งต่อ ซึ่งก็โชคดีที่มีคนลงพอดีก็เลยขึ้นกระเช้าของเค้าไปต่อ
นั่งกลับย้อนลงไปที่สถานที่สามเพื่อไปขึ้นเขาเทียนเหมินซัน
เมื่อลงมาถึงก็โดนไกด์ตีไปสองที เพราะว่าลงผิดสถานี จากนั้นก็ต่อแถวเพื่อรอขึ้นรถ แล้วก็มุ่งหน้าผ่าน 99 โค้งที่เห็นจากเมื่อตะกี้ ทำประกันไว้เพิ่มด้วยเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ภาพซ้ายสุดคือเทียนเหมินซัน จุดที่เราจะไปกัน แต่ระหว่างทางก็เหวี่ยงไปมา ข้างๆ ก็เป็นเหวสูงซะด้วย ส่วนวิวก็เป็นภูเขาสวยงามมากๆ ที่นี่ Safety ดีมากๆ มีอุปกรณ์กั้นด้วย (แต่ผมว่าถ้ารถไปชนโดน รถก็คงจะดิ่งลงเหมือนกัน) นั่งไปก็เหวี่ยงไปมา เสียวก็เสียว วิวก็สวย ชีวิตก็ลุ้นอีก


จากนั้นก็มาถึงเทียนเหมินซัน แล้วความใหญ่โตอลังการมากๆ มีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้น มีร้านอาหาร และห้องน้ำ ส่วนกิจกรรมหลักที่นี่ก็คือการเดินขึ้นประตูสวรรค์ทั้งหมด 999 ขั้น

ไกด์ก็บอกว่าเวลา 45 นาที สำหรับการเยี่ยมชมที่นี้ คิดในใจว่าแล้วจะได้ขึ้นข้างบนทันมั้ยนั้น แล้วลูกทัวร์คนอื่นก็บอกว่าเวลาน้อยไปแบบนี้ใครขึ้นไปทัน แค่เดินขึ้นก็หมดเวลาแล้ว แต่ไกด์ก็ชี้แจงว่าที่เวลาน้อยเพราะว่าต้องรีบไปกินข้าว เพื่อที่จะทันดูโชว์

ยังลังเลอยู่ว่าจะเดินขึ้นดีมั้ย หรือจะนั่งอยู่ข้างล่างรอดีน้า

ว่าแล้วก็เดินละกันขึ้นไปก่อน แล้วค่อยคิด เดินๆๆๆ แรกๆก็สบายอากาศเย็นๆ แต่พอถึงช่วงกลางๆเริ่มร้อนจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออก แล้วก็เริ่มค่อยๆเดินช้าลง ผู้คนรอบข้างก็เดินไปเรื่อยได้ยินแต่เสียงคนไทย ส่วนถ้าเป็นคนแก่ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน เกาหลี อึดมากๆครับ ยอมรับเลยอายุไม่เป็นอุปสรรค

ผมเดินขึ้นไปก็เริ่มหายใจก็แรงขึ้นเรื่อยๆเพราะทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย หายใจทางปากเพื่อรับออกซิเจนเยอะๆ แล้วพอเหลียวหลังก็เสียวเหลือเกินว่าขึ้นมาสูงจัง


พอขึ้นมาถึงก็พบกับที่ถ่ายรูป โดยให้ช่างภาพถ่ายแล้วก็ปริ้นเก็บกลับบ้านได้ แต่ด้วยความประหยัดอย่างเราแบบนั้นไม่มีทางได้กินตังเราหรอก เรามีกล้องก็ถ่ายเองซะเลย จุดตรงนี้จะมีป้ายใหญ่ๆ มีหัวใจอยู่ตรงกลางเหมาะกับคู่รักจะขึ้นมาพิสูจน์รักแท้ แล้วก็มีคนนำพวงกุญแจขึ้นมาคล้องด้วยเหมือนเกาหลีเลย ส่วนด้านซ้ายของหน้าผาก็มีหุ่นปีนอยู่ ซึ่งคาดว่าจะมีคนมาปีนที่นี่เลยสร้างหุ่นไว้ให้รำลึกด้วย

เดินไปสุดทางจะเห็นวิวสวยมากๆ คนที่ไม่ได้ขึ้นมาอดเลยล่ะ มีทางลงบันไดไปอีกทางแต่ยังปิดครับ อีกหน่อยคงจะเปิดแน่ๆ และก็ยังเห็นเค้ากำลังทำกระเช้าด้วย อีกหน่อยไม่ต้องเดินละขึ้นกระเช้ามาเลยครับ

หลังจากนั้นก็นั่งรถตู้แล้วก็นั่งกระเช้ากลับสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย แต่การเที่ยวยังไม่จบเท่านั้น ยังจะได้ไปดูโชว์จิ้งจอกขาว ซึ่งต้องบอกว่าสุดยอดมาก กำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว

ซึ่งโชคดีที่ไกด์เล่าให้ฟังคร่าว ก่อนที่จะไปดูเลยดูรู้เรื่อง หากใครเก่งภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องห่วงเพราะมี Subtitle ให้อ่าน แต่ถ้านั่งไกลๆ ก็ตัวเล็กเหมือนกัน

ขอเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับเนื้อเรื่องละกันครับ
เปิดฉากแรกจะเห็นคนและนางจิ้งจอกอยู่กันคนละหุบเขา แล้วก็ร้องโหยหาซึ่งกันและกัน (แค่เปิดมาก็อลังการ) มีการร้องเพลงประกอบเนื้อหาเข้มข้นสุดๆ

จากนั้นก็เริ่มเนื้อเรื่องที่ว่า
"มีปีศาจตนนึงบำเพ็ญเพียรแก่กล้า จนกระทั่งมีฤทธิ์แล้วก็ต้องการหาคู่ซึ่งก็มีนางจิ้งจอกมากมายที่อยากมาเป็นชายาแก่ปีศาจตนนี้ แต่สุดท้ายปีศาจตนนี้กลับเลือกนางจิ้งจอกที่บำเพ็ญเพียรจนสามารถแปลงกายได้ โดยจะมีการสมรสระหว่างปีศาจกับนางจิ้งจอกภายในสามวัน และจากนั้นนางจิ้งจอกก็ได้พบและพอใจชายคนนึ่งซึ่งเป็นแค่ชาวบ้านคนนึง เค้าทั้งคู่ก็ได้รู้จักกันและหลงรักกัน เมื่อชายคนนั้นรู้ว่าเป็นจิ้งจอกแปลงกายก็เสียใจ แต่ก็ยังรักและต้องการที่จะเคียงคู่กัน จนกระทั่งวันที่ใกล้จะสมรสปีศาจและคนในหมู่บ้านรู้ว่าทั้งสองคนนั้นรักกัน จึงจับให้ทั้งคู่ไปอยู่บนภูเขาสูงคนละลูกและไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ได้แต่มองเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นเวลาผ่านไป เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนหมื่นๆปี ความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างไร จนกระทั่งหลายๆ คนต่างเห็นใจและอ้อนวอนให้เค้าทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกัน สุดท้ายแล้วสะพานสายรุ้งตรงภูเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนพาชายและนางจิ้งจอกมาพบกัน และได้อยู่เคียงคู่กันไปตลอดกาล"

(เนื้อหาอาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะบางทีก็ผ่านไม่ออก แปลผิด นะครับ)

ต้องบอกว่าฉากจบอลังการมาก เพราะไฟภูเขาที่เทียนเหมินซานสว่างขึ้น ทำเอาผมทะลุมิติเข้าไปในเนื้อเรื่องเลยครับ บางตอนยังน้ำตาไหลเลยซึ่งมากๆ การแสดง แสง สี เสียง บทเพลง ฉาก อะไรต่างๆ สุดยอดมากๆครับ ควรไปดูอย่างยิ่ง

เมื่อดูจบ ก็กลับโรงแรมเข้าพัก ตอนประมาณสี่ทุ่มครับ วันนี้หมดแรงเช่นกัน หลับเพื่อเก็บสะสมไปหุบเขาอวตาลในวันพรุ่งนี้

เขียนมาตั้งนาน ผ่านไปสองวันเองครับ เหลืออีก 3 วัน

ไปชมเขาอวตาร กันต่อเลย
Part 2/2 >>>

face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

บันทึกตาปลา(Corns)