ทริปเวียดนามกลาง 3 - 7 June 2024

นานแล้วที่ไม่ได้เขียน Blog เลยครับ ตั้งแต่อะไรหลายๆเปลี่ยนไป จนกระทั่งได้ไปเที่ยวเวียดนามกลางก็มีความรู้สึกอยากจะเขียนเล่าเก็บไว้เป็นความทรงจำ

ต้นเรื่อง
เกิดจากผมเองที่อยากไปเวียดนาม ไปดูหมู่บ้านฝรั่งเศสอยากเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในประเทศยุโรป ซึ่งก็ดีตรงใช้เวลาเดินทางไม่ไกล แถมงบไม่ต้องสูงมาก คุยกับเพื่อนตั้งแต่ปี 2023 จนในที่สุดก็จองตั๋วตอนต้นปี 2024 เกือบจะล่มแล้วล่ะ แต่ก็ไปได้

แผนเที่ยว 
ผมศึกษาจาก youtube และใน web เวียดนามกลางจะมีจุดหลัก 4 จุดที่คนนิยมไป
  1. เมืองดานัง เมืองติดทะเล
  2. เมืองเว้ เมืองอิงประวัติศาสตร์ ชมราชวัง  สุสาน
  3. เมืองฮอยอัน เมืองเก่า เดินชิลๆ ใช้ชีวิต Slow life
  4. Bana hill เมืองดานัง หมู่บ้านฝรั่งเศษ สะพานมือ Golden Bridge

ซึ่งได้หารือกับเพื่อนว่าจะไปเมืองไหนดี  สุดท้ายเพื่อนๆอยากไปทุกเมืองในเวลา 5 วัน ซึ่งก็หมายความว่า เราจะนอนกันสี่คืน สี่โรงแรม เป็นทัวร์นกขมิ้นเลย ค่ำไหนนอนนั้น ว่าแล้วก็จองตั๋วเครื่องบิน ได้ไปในราคา 5,500 ของ airasia รวมสัมภาระคนละ 15 กิโลกรัม

เนื่องจากเราไปกัน 8 คน จึงจองรถตู้ ผ่าน Facebook : link ซึ่งน้อง Admin ติดต่อได้รวดเร็ว บริการดีมากแนะนำเลย

ว่าแล้วไปเทียวกันเลยครับ




วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2567
ผมไปค้างที่บ้านเพื่อนแล้วรวมตัวกันไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองตอน 5.00 น. ซึ่งเรียกรถ Grab มารับตามนัดสะดวกมากๆ จากนั้นก็บินตรงไปลงสนามบินดานัง เมื่อไปถึงสนามบิน ก็ผ่านตม. เวียดนามอย่างสบายหยิบกระเป๋า และเดินออกมา ก็จะเจอร้านขาย Sim หลายรายมากครับ ราคาเดียวกันหมด 240,000 VND(350 บาท) สำหรับการใช้งาน ภายใน 7 วัน 

หากต้องการประหยัดไปซื้อของใน Shoppee ราคา ไม่ถึง 200 บาทครับ  ก็จะประหยัดเงิน พอเดินออกมาก็เจอพี่คนขับรถชื่อหวังครับ (ขอเรียกว่าลุงหวัง ละกัน)  ลุงชูป้าย Bigg Yoga เราก็เข้าไปทักทายแล้วก็เข็นรถไปขึ้นรถตู้แกเลย ต้องบอกว่ารถตู้ที่นี่ใหญ่นั่งได้ 12 คน แต่หากไปกัน 12 คน ที่วางกระเป๋าก็จะน้อยลง กลุ่มผมไปกัน 8 คน ก็กำลังดีครับ แอร์รถตู้เย็นสบายมากๆ เราออกจากสนามบินดานังมุ่งตรงไปเมืองเว้ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม

ร้านสะดวกซื้อและเฝอมื้อแรก

เริ่มต้นผมหาร้านสะดวกซื้อที่เวียดนามซึ่งต้องบอกว่าที่นี่ Seven นี้หายากมาก จะมี Winmart ก็จะคล้ายๆกับ Seven Elven บ้านเรา ผมลงไปซื้อน้ำ ซื้อขนมกับเพื่อนๆ ซึ่งมีขนมแปลกๆเยอะ รวมไปถึงความงง ของเงินดอง ครั้งแรกซื้อ 400,000 ด่อง ซึ่งก็กดเครื่องคิดแรกกันใหญ่เลย ว่าเป็นเงินบาทเท่าไหร่ หลังจากซื้อเสบียงเสร็จก็เตรียมขึ้นรถ แต่เหลือบไปเห็นร้านอาหารเลยเดินไปดู



ร้านนี้เป็นเส้นครับ สื่อสารกับป้าแกยากมาก เพราะแกพูดแต่ภาษาเวียดนาม แต่ก็อยากกินเลยถามราคาด้วยการกดเครื่องคิดเลข ตกชามละ 25,000 ด่อง หรือประมาณ 36 บาท ต้องบอกว่าเป็นมื้อแรกที่กินแบบ Local มาก รสชาติ ok เลยครับ สำหรับผม แต่เพื่อนบางคนก็บอกว่าไม่อร่อย รสชาติของที่นี้จะเบา ไม่เข้มข้นเหมือนบ้านเรา แต่เส้นข้าวเจ้าของเค้าอร่อยมาก ของผมนี้ถือว่าผ่านเลยละ

เมื่อทานเสร็จแล้วเดินกลับไปซื้อไอศกรีมที่ร้าน Winmart ผมจ่ายเงินไปแล้วเค้าไม่ทอน 2,000 ด่อง ผมก็เลยทวงกับคนขาย สุดท้ายเค้าให้มา 5,000 ด่อง ทอนเกินมา 3,000 ด่อง แล้วพี่แกก็เอามือไล่ๆ ให้ไป ซึ่งพอมาคิดว่า 2,000 ด่อง ก็เท่ากับ 3 บาท ก็เลยทำให้รู้ว่า เศษ 2,000 ด่องที่นี้ก็อาจจะปัดหรือเค้าทอนเกินก็ไม่ว่าอะไร

เดินทางเข้าสู่เมืองเว้ สถานที่แรกที่ไปคือ วัดเทียนหมุ



สถานที่นี้ติดกับแม่น้ำเฮือนติดกับถนน เดินขึ้นไปด้านบนแล้ว ก็จะพบกับเจดีย์ และภาพนี้เป็นภาพที่พวกเราเริ่มสัมผัสกับอากาศร้อนของเมืองเว้ เราเดินเข้าชมตามจุดต่างๆ บางมุมมีความร่มรื่น หลบแดดได้ สวยงาม

หลังจากเดินเสร็จแล้วก็แวะร้านกาแฟระหว่างทาง ซึ่งต้องบอกว่าหาร้านค่อนข้างยาก เพราะเรามีแผนจะไปพระราชวังเว้ ซึ่งอยู่ใกล้เจดีย์เทียนหมุ แต่เราไม่อยากให้รถอ้อม เลย หาร้านแถวๆนั้น

เป็นร้านเล็กๆระหว่างทางครับ พยายามจะหาร้านมีแอร์ในเว้ค่อนข้างยากครับ ต้องทำใจไปครับ ร้านเล็กๆ กาแฟที่นี่น้ำแข็งน้อยมากครับ กาแฟรสชาติเข้มข้นอยู่ เมื่อรู้สึกร่างกายเย็นลงบ้างแล้วก็ออกเดินทางไป

พระราชวังเว้ ดินแดนต้องห้าม


ก่อนเข้าจะมีบัตรให้ซื้อ หากเรามีแผนจะไปดู สุสาน อีก 3 สถานที่ก็สามารถซื้อบัตรได้เลย ทางเจ้าหน้าที่จะให้ Slip ไว้ Scan เข้าทุกๆที่ เมื่อมากถึงแล้ว ก็ขอถ่ายรูปสวยๆ กับทางเข้า ช่วงที่ไป คนถ่ายรูปด้านหน้าค่อนข้างมากครับ เลยถ่ายเท่าที่ได้ ของจริงสวยงามอลังการจริงๆ แสงสวย แลกความร้อนที่ต้องเผชิญ





สถานที่แห่งนี้ใช้เวลาเดินค่อนข้างนาน ใช้เวลาอย่างๆน้อยๆ 1 ชั่วโมง หากคนตั้งใจศึกษาประวัติ รวมถึงถ่ายรูปให้ครบทุกมุม ก็น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยๆ 2 ชั่วโมง เมื่อเดินแล้วผมและเพื่อนๆก็ออกทางด้านหลังพระราชวัง เพราะเดินกลับมาทางเดิมไม่ไหว แล้วก็เรียกลุงหวังมารับ ซึ่งก็ลุ้นเพราะคุยกับแกก็ไม่รู้เลย ส่ง เป็น line ส่ง Location พร้อมทั้งถ่ายรูปว่าเราอยู่ตรงนี้ สุดท้ายรอ 10 นาทีลุงก็มารับพวกเรา


แนะนำ ว่าการเที่ยวเมืองเว้ขอให้พกร่ม พัดลมเล็กๆ ขวดน้ำติดตัว ไปจะช่วยคลายร้อนได้ครับ ผมอ่านวิธีเที่ยวเค้าให้ใส่กางเกงขายาว แต่ก็พบว่าก็มีคนใส่ขาสั้นเข้าชมได้  ดูเพื่อนๆผมทุกคนใส่ขายาวมาร้อนมากครับ 

หลังจากเสร็จจากพระราชวังแล้วก็ไปต่อที่สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก ซึ่งก็อยู่ใน ticket Combo ของเรา เดินทางไปไม่ไกล ต้องรีบไปเพราะกลัวสุสานจะปิด เมื่อไปถึงแล้วจะเห็นความร่มรื่นขึ้นนิดหน่อยแต่ความร้อนแทบจะไม่ได้หายไปไหนเลย เพื่อนๆ บางคนเริ่มเมื่อยขา เดินซักพักแล้วนั่งพัก แต่กลุ่มผมเดินกันต่อ สถานที่แห่งนี้จะต้องเดิเข้าไปเรื่อยๆ หลายชั้นซึ่งแต่ละชั้นก็จะต้องเดินขึ้นบันได ลงบันได และข้างในสุดถึงจะเจอสุสาน ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าหมดแล้ว แต่พอเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบกับความอลังการ

จักรพรรดิตือดึ๊ก 




ตรงนี้จะเป็นทางเข้าสุสาน ซึ่งเหมือนเป็นทางลับ เมื่อเข้าไปแล้ว จะสัมผัสถึงความอลังการที่สุดๆเลย ใครมาแล้วเก็บแรง กลั้นใจ เดินไปให้สุดนะครับ  เมื่อเดินสุดแล้ว ผมดูแผนที่ใน Google ก็พบว่ายังมีสุสานของราชินีอยู่ที่ แต่ต้องเดินไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเพื่อนอีกกลุ่มก็เริ่มโทรตามแล้วให้รีบออกไป เลยไม่ได้เดินไปชมต่อ กลับไปที่รถ

และผมจองห้องพักไว้ที่ Huong Giang Hotel ซึ่งก็จะไม่ไกลจากตัวเมือง สามารถเดินไปหาร้านอาหารได้ 


เราเข้าที่พัก เก็บของแล้วก็ให้ลุงหวังพาไปที่ห้าง Vincom ซึ่งที่เมืองเว้มีห้างอยู่สองแห่ง Vincom จะเป็นห้างทั่วไป เราตั้งใจจะไปเดินดูห้าง แล้วกะว่าจะออกมาหาอะไรทานตามร้าน แต่เพื่อนๆ ก็เห็นบุฟเฟ่ต์ที่ห้าง และตอนนั้นคือแต่ละคนโหยมาแล้ว เลยกินเป็นชาบูปิ้งย่าง



ใช้เวลาทานอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงจนอิ่ม ก็เดินกลับโรงแรม ซึ่งเราก็ไปแวะชมแม่น้ำน้ำหอมชมสะพานหลากสีก่อนกลับเข้าที่พักหลับสนิทเลยครับ วันแรก ของเมืองเว้

face2cu

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึก รักษาปลากัดท้องมาน ท้องป่อง Dropsy

บันทึกรักษารากฟัน

กระจกตาถลอก - ฝันร้ายหลังตื่นนอน