Christmas in Vientiane Part 2
25 ธันวาคม 2559
เช้านี้ผมตื่นแต่เช้าแล้วรีบออกเดินไปยังริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ช่วงเวลาเช้าของกรุงเวียงจันทน์นั้นอากาศเย็นสบาย แตกต่างจากกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ร้านค้ารอบๆปิดหมด ถนนที่เมื่อคืนปิดก็เปิดให้รถแล่นเข้าได้ตามปกติ
ผมเดินเล่นในสวนสักพัก ก็เดินกลับมาที่อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ และมองเห็นริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ดูสงบร่มรื่นมา ผมนั่งเล่นสูดลมเย็นๆ จนช่ำปอดจากนั้นจึงเดินกลับไปที่พัก เพื่อกินอาหารเช้า อาหารเช้าของที่พักมีให้เลือกสองอย่างคือ
ผมเลือกไข่ดาว ได้ไข่ดาวสองฟอง กับน้ำมะเกลี้ยง(หรือน้ำส้ม) มีขนมปังปิ้งกับเนยก้อน ผมนั่งกินขนมปังจนหมดแล้วตามด้วยมะละกอกล้วย จากนั้นจึงเดินไปที่ counter ดูเมนูก็พบว่ามีน้ำผักปั่น จึงสั่งมาลองกิน เมื่อมาถึงแล้วก็ได้รูปดังภาพ คำถามแรกที่ผมถามพนักงานคือมีใส่น้ำตาลรึเปล่า เพราะปกติผมกินแบบไม่มีน้ำตาล พนักงานก็ตกใจบอกว่าใส่พร้อมทั้งขอโทษว่าลืมถาม แต่ผมก็ผิดเองที่ไม่ได้บอก พอลองชิมแล้วก็ไม่หวานมาก คนลาวไม่กินหวานเหมือนคนไทย
เมื่อกินอาหารเช้าจนท้องอิ่มแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ ผมเจอสาวแคนนาดา จึงได้ชวนว่าจะไปทริปที่ทางโรงแรมจัดไหม โดยโรงแรมได้ตั้งเงื่อนไขว่าถ้ามีนักท่องเที่ยวเกิน 5 คน จะมีรถพาเที่ยวรอบตัวเมืองหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็จัดของใส่เป้เพื่อออกเดินทางเวลาประมาณ 10.30
รถที่มารับเป็นรถสองแถว ด้านหลังนั่งได้ 6 คน ส่วนผมนั่งหน้ากับคนขับ เพราะผมชอบคุยกับคนขับเพื่อได้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวไปในตัวด้วย สถานที่แรกที่ไปคือวัดสีเมือง
วัดแห่งนี้คนลาวจะมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก เปรียบเหมือนกับวัดระฆังบ้านเรา ได้เห็นวิถีชีวิตคนลาวแล้วรู้สึกว่าคนประเทศนี้มีความเรียบร้อยกว่าบ้านเรา หลังจากที่เดินชมรอบๆแล้ว ก็ขึ้นรถไปต่อผมลองสอบถามกับทางคนขับ เค้าก็บอกว่าในแหล่งท่องเที่ยวบริเวณนี้ค่าที่แพงมาก คนลาวส่วนใหญ่จะอยู่กันด้านนอกกัน แต่เวลาเที่ยวชาวลาวก็ยังคงมากันที่นี่เป็นหลัก จากนั้นแวะกันที่ประตูชัยซึ่งหลายๆคนในรถมากันหมดแล้ว ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่เป็นชาวญี่ปุ่น เกาหลีเพิ่มขึ้นซึ่งเค้าสงสัยว่าทำไมผมถึงคุยกับคนลาวรู้เรื่อง ซึ่งผมก็อธิบายว่าภาษาไทยกับภาษาลาวมีความคล้ายกันมาก และจากการอ่านข้อมูลการท่องเที่ยวมาทำให้ผมกลายเป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่างๆกับเพื่อนชาวต่างชาติ
ผมได้มีโอกาสกลับมาพระธาตุหลวงอีกครั้ง ภายในคงสวยงามเหมือนเดิมแม้จะมีการบูรณะก็ตาม ส่วนเพื่อนๆคนอื่นเดินชมข้างนอก มีผมกับสาวญี่ปุ่นยอมจ่ายค่าเข้าชม
ผมเดินคุยกับเธอก็ได้ความรู้ใหม่ๆ จากเธอมากมายเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น เมื่อเดินรอบพระธาตุแล้ว จึงเดินไปสักการะพระนอน ที่ครั้งที่แล้วไม่ได้ไปไหว้
องค์พระมีเอกลักษณ์แตกต่างจากเมืองไทย สีทองดูสงบสวยงาม หลังจากเดินรอบแล้วก็ขึ้นรถทัวร์กลับที่พักครับ เมื่อถึงที่พักแล้วแต่ละคนก็พักที่ Lobby กลุ่มเพื่อนๆเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โดยแต่ละคนก็มีเป้าหมายที่อยากจะไปเหมือนกัน เที่ยงแล้วจึงหาร้านอาหารกินก่อน ซึ่งผมก็มีเป้าหมายอยากกินอาหารอินเดีย จึงบอกเพื่อนๆว่าผมจะไปกินอาหารอินเดีย ตอนแรกเข้าใจว่าคงจะไม่มีใครกิน สุดท้ายไปกัน 5 คน (รวมผมด้วย) ร้านที่ไปกันคือร้าน taj mahal ภายนอกร้านและในร้านดูเหมือนกับร้านข้างทางธรรมดามาก แต่ราคาจานนึ่งประมาณ 60 บาทขึ้นครับ
ก่อนสั่งอาหารผมเกรงกว่าเพื่อนๆจะสั่งไม่เป็น แต่สุดท้ายเพื่อนๆแต่ละคนเคยกินกันมาแล้วและยังรู้เมนูมากกว่าผมอีก ผมสั่งซุปผัก กับข้าวแซฟฟรอน ต้องบอกว่าเป็นมื้ออาหารอินเดียที่โดนใจมากที่สุด หอมอร่อยจริงๆ กินจนเกลี้ยงมากๆ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็บอกว่าร้านนี้อร่อยดี ไม่เสียทีที่มาลองกิน
จากนั้นจึงเดินทางไปต่อ ระหว่างทางเพื่อนแคนนาดา ขอแยกตัวไปทำงานจึงมีผม ชาวญี่ปุ่นสองคนกับสาวเกาหลี ระหว่างทางเราเดินคุยกันอย่างสนุกสนานผมมักจะมีคำถามที่เข้าใจจากละครเกาหลีมาถามซึ่งเธอก็บอกว่านั่นเป็นเพียงในละครเรื่องจริงไม่เป็นแบบนั้น และได้ความรู้ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่นปัจจุบันชาวเกาหลีนั้น จะต้องซื้อบ้านก่อนจึงจะแต่งงาน จะไม่อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่แบบในละครที่เคยดู เมื่อเดินสักพักถึงศาลหลักเมือง
ที่ศาลหลักเมืองนี้ เพื่อนๆต่างชาติสงสัยว่าวัดกับเสาหลักเมืองแตกต่างกันอย่างไร จึงได้อธิบายตามที่เข้าใจจากนั้นสาวเกาหลีจึงบอกให้ผมสอนการกราบพระหน่อย ซึ่งเพื่อนจากญี่ปุ่นก็สนใจเช่นกัน ผมสอนการกราบเบญจางคประดิษฐ์ คือส่วนของร่างกาย 5 ส่วนถูกพื้นขณะกราบและการกราบสามครั้งคือการเคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อนๆสนใจมากเลยครับหลังจากที่ได้สอนเพื่อนๆแล้วเดินทางไปต่อ
COPE Visitor Centre
ตอนแรกสถานที่แห่งนี้ผมรู้สึกไม่ได้อยากมามากครับ แต่ชาวต่างชาติสนใจกันมาก ผมก็เลยมาตามน้ำเมื่อถึงแล้วภายนอกดูธรรมดามากแต่เมื่อเข้ามาแล้วภายในสถานที่แห่งนี้จัดเป็นอย่างดี โดยสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบกับระเบิดของชาวลาว
คำถามแรกที่ผมสงสัยคือประเทศลาวมีระเบิดจำนวนมากหรือจึงมีการจัดสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา เมื่อดู Clip พบว่าในช่วงสงครามเวียดนามนั้น ประเทศอเมริกาจะขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม แต่เมื่อทิ้งไม่หมดจะต้องทิ้งระเบิดที่อื่นให้หมดเพื่อลงจอดได้ จึงได้ปล่อยทิ้งไว้ในป่าที่ประเทศลาว เมื่อเวลาผ่านไปเมืองเจริญระเบิดที่ไม่ระเบิดจึงถูกฝั่งอยู่ในใต้ดิน ซึ่งบางคนก็เดินไปเหยียบบ้าง ทำอาหารเกิดความร้อน จึงทำให้เกิดระเบิดขึ้น สุดท้ายคนลาวจำนวนมากจึงพิการ ศูนย์แห่งนี้ได้ผลิตขา มือเทียมเพื่อช่วยเหลือบรรเทาผู้ที่โดนระเบิด ภายในศูนย์นี้มีภาพยนต์ฉายด้วย ผมดูแล้วรู้สึกสงสารมาก ด้วยความเหนื่อยที่เดินค่อนข้างไกลจึงเผลอหลับ เมื่อชมเสร็จแล้วก็เดินไปในส่วนของซื้อสินค้าเพื่อสมทบทุน ผมออกมาด้านนอกจึงซื้อไอศรีมชอกโกแลตกิน ซึ่งต้องบอกว่าอร่อยมากครับ กับอากาศภายนอกที่ค่อนข้างร้อน จึงทำให้สดชื่นมาก
หลังจากนั้นเดินกลับระหว่างทาง สองสาวญี่ปุ่นและเกาหลีของแยกตัว เหลือผมกับหนุ่มญี่ปุ่นจึงเดินไปเที่ยวกันสองคน ผมแวะที่วัดสีสะเกด ซึ่งแห่งนี้เป็นถือว่าเป็นวัดที่ห้ามพลาดเด็ดขาดอยู่ตรงข้ามกับหอพระแก้วครับ
ภายนอกดูสงบทางเข้าจะเห็นคนวาดภาพเทพด้วยปากกาลูกลื่นดูสวยงาม ภายในวัดแห่งนี้ที่ชื่อสีสะเกดแปลว่าแสน ซึ่งตามข้อมูลคือวัดแห่งนี้มีองค์พระถึงแสนองค์แต่ปัจจุบันเหลือเพียงหลักหลายหมื่นเท่านั้น เมื่อเข้าไปแล้วเอกลักษณ์ของวัดคือ รอบๆกำแพงจะมีองค์พระพุทธรูปมากมาย
ดูสวยงามภายในวัดไม่สามารถถ่ายรุปได้ครับ ต้องเข้าไปชมด้วยตัวเอง หลังจากเดินรอบๆแล้ว เพื่อนญี่ปุ่นก็เดินไปด้านหลังก็พบว่ามีมุมสงบที่ถ่ายรูปเดี่ยวได้
จึงฝากกล้องให้เพื่อนญี่ปุ่น หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้เป็นอาจารย์สอนเลข ซึ่งบางครั้งผมก็คุยภาษาอังกฤษกับเขาไม่รู้เรื่อง (ปกติถ้าคุยไม่ได้เค้าจะมีเพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นชวนแปล) บางทีก็งงบ้าง แต่นิสัยคนญี่ปุ่นน่ารัก และสุภาพมากครับ หลังจากเที่ยวที่วัดแล้วจึงตั้งใจเดินกลับแต่เห็นว่าเวลาเหลือจึงแวะที่ร้าน Joma ซึ่งเป็นร้านที่ควรแวะมาเพราะร้านนี้สวยงามดูดีมาก
ผมสั่งทาร์ตเลมอนมา ซึ่งต้องบอกว่าผิดหวังครับ เปรี้ยวและหวานมาก ส่วนเพื่อนญี่ปุ่นสั่งเค้กมะพร้าว สุดท้ายสลับกันกิน เพราะเค้ากลับชอบทาร์ตเลมอน โชคดีจริงๆ เมื่อกินเค้กเสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พัก หนุ่มญี่ปุ่นจะต้องกลับญี่ปุ่นคืนนี้ เค้าจึงไปเก็บกระเป๋า ส่วนผมกับเพื่อนที่เจอกันก็นั่งคุยเล่นกัน ผมจึงขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเจอกัน
เมื่อพูดคุยกันได้สักพัก จึงชวนไปกินอาหารเย็นกันครั้งนี้เลือกอาหารลาวกัน ร้าน Laos kitchen ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก เมื่อเดินไปถึงแล้วร้านคนค่อนข้างมาก เพราะเป็นอาหารลาวจริงๆ แต่เมื่อผมดูเมนูก็พบว่าเหมือนอาหารไทยหลายอย่างมากๆ สุดท้ายจึงเลือกเมนูส้มตำมังสวิรัติ
รสชาติอร่อยพอประมาณไม่หวาน ไม่เผ็ด พนักงานบอกว่าส่วนใหญ่จะมีการปรับรสชาติเรื่องความเผ็ดให้น้อยลงหลังจากกินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วผมก็ไปเดินเล่นที่ตลาดมืดอีกครั้ง ครั้งนี้เดินไปเจอตลาดสดเล็กๆเรียบแม่น้ำโขงเป็นชาวบ้านที่พักอยู่ที่ริมแม่น้ำโขงจริงๆ ผมเดินลองดูผักก็พบว่ามีความคล้ายกับตลาดสดบ้านเรามาก จึงได้สอบถามผักที่ผมไม่เคยเห็นว่าใช้ทำอาหารอะไรได้บ้าง จากนั้นเจ้าของแผงก็เลยเรียกให้ผมชิมอาหารของเขา พร้อมกับจะให้กินเบียร์ลาวด้วย แต่ผมชิมแค่อาหาร อาหารที่ชิมเป็นออมปลา อร่อยดีครับ คงจะเป็นเพราะปลาค่อนข้างสดจึงมีรสชาติอร่อย หลังจากได้ชิมแล้วก็ได้คุยกับพี่เจ้าแผงผักว่าผักนี้นำเข้ามาจากฝั่งประเทศไทยหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่าคนลาวไม่กินพืชผักจากเมืองไทยเพราะมีสารเคมีมาก และไม่อร่อย ต้องผักที่ปลูกจากประเทศลาวเท่านั้นเค้าถึงจะขายได้ (ฟังแล้วก็น่าคิดมากๆนะครับ)
หลังจากที่ได้นั่งคุยกับพี่เขาสักระยะ ก็เดินกลับที่พักและก็นอนหลับ
face2cu
เช้านี้ผมตื่นแต่เช้าแล้วรีบออกเดินไปยังริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ช่วงเวลาเช้าของกรุงเวียงจันทน์นั้นอากาศเย็นสบาย แตกต่างจากกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ร้านค้ารอบๆปิดหมด ถนนที่เมื่อคืนปิดก็เปิดให้รถแล่นเข้าได้ตามปกติ
ผมเดินเล่นในสวนสักพัก ก็เดินกลับมาที่อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ และมองเห็นริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ดูสงบร่มรื่นมา ผมนั่งเล่นสูดลมเย็นๆ จนช่ำปอดจากนั้นจึงเดินกลับไปที่พัก เพื่อกินอาหารเช้า อาหารเช้าของที่พักมีให้เลือกสองอย่างคือ
- ไข่ดาวขนมปัง
- ซีเรียล
ผมเลือกไข่ดาว ได้ไข่ดาวสองฟอง กับน้ำมะเกลี้ยง(หรือน้ำส้ม) มีขนมปังปิ้งกับเนยก้อน ผมนั่งกินขนมปังจนหมดแล้วตามด้วยมะละกอกล้วย จากนั้นจึงเดินไปที่ counter ดูเมนูก็พบว่ามีน้ำผักปั่น จึงสั่งมาลองกิน เมื่อมาถึงแล้วก็ได้รูปดังภาพ คำถามแรกที่ผมถามพนักงานคือมีใส่น้ำตาลรึเปล่า เพราะปกติผมกินแบบไม่มีน้ำตาล พนักงานก็ตกใจบอกว่าใส่พร้อมทั้งขอโทษว่าลืมถาม แต่ผมก็ผิดเองที่ไม่ได้บอก พอลองชิมแล้วก็ไม่หวานมาก คนลาวไม่กินหวานเหมือนคนไทย
เมื่อกินอาหารเช้าจนท้องอิ่มแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ ผมเจอสาวแคนนาดา จึงได้ชวนว่าจะไปทริปที่ทางโรงแรมจัดไหม โดยโรงแรมได้ตั้งเงื่อนไขว่าถ้ามีนักท่องเที่ยวเกิน 5 คน จะมีรถพาเที่ยวรอบตัวเมืองหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็จัดของใส่เป้เพื่อออกเดินทางเวลาประมาณ 10.30
รถที่มารับเป็นรถสองแถว ด้านหลังนั่งได้ 6 คน ส่วนผมนั่งหน้ากับคนขับ เพราะผมชอบคุยกับคนขับเพื่อได้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวไปในตัวด้วย สถานที่แรกที่ไปคือวัดสีเมือง
วัดแห่งนี้คนลาวจะมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก เปรียบเหมือนกับวัดระฆังบ้านเรา ได้เห็นวิถีชีวิตคนลาวแล้วรู้สึกว่าคนประเทศนี้มีความเรียบร้อยกว่าบ้านเรา หลังจากที่เดินชมรอบๆแล้ว ก็ขึ้นรถไปต่อผมลองสอบถามกับทางคนขับ เค้าก็บอกว่าในแหล่งท่องเที่ยวบริเวณนี้ค่าที่แพงมาก คนลาวส่วนใหญ่จะอยู่กันด้านนอกกัน แต่เวลาเที่ยวชาวลาวก็ยังคงมากันที่นี่เป็นหลัก จากนั้นแวะกันที่ประตูชัยซึ่งหลายๆคนในรถมากันหมดแล้ว ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่เป็นชาวญี่ปุ่น เกาหลีเพิ่มขึ้นซึ่งเค้าสงสัยว่าทำไมผมถึงคุยกับคนลาวรู้เรื่อง ซึ่งผมก็อธิบายว่าภาษาไทยกับภาษาลาวมีความคล้ายกันมาก และจากการอ่านข้อมูลการท่องเที่ยวมาทำให้ผมกลายเป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่างๆกับเพื่อนชาวต่างชาติ
ผมได้มีโอกาสกลับมาพระธาตุหลวงอีกครั้ง ภายในคงสวยงามเหมือนเดิมแม้จะมีการบูรณะก็ตาม ส่วนเพื่อนๆคนอื่นเดินชมข้างนอก มีผมกับสาวญี่ปุ่นยอมจ่ายค่าเข้าชม
ผมเดินคุยกับเธอก็ได้ความรู้ใหม่ๆ จากเธอมากมายเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น เมื่อเดินรอบพระธาตุแล้ว จึงเดินไปสักการะพระนอน ที่ครั้งที่แล้วไม่ได้ไปไหว้
องค์พระมีเอกลักษณ์แตกต่างจากเมืองไทย สีทองดูสงบสวยงาม หลังจากเดินรอบแล้วก็ขึ้นรถทัวร์กลับที่พักครับ เมื่อถึงที่พักแล้วแต่ละคนก็พักที่ Lobby กลุ่มเพื่อนๆเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โดยแต่ละคนก็มีเป้าหมายที่อยากจะไปเหมือนกัน เที่ยงแล้วจึงหาร้านอาหารกินก่อน ซึ่งผมก็มีเป้าหมายอยากกินอาหารอินเดีย จึงบอกเพื่อนๆว่าผมจะไปกินอาหารอินเดีย ตอนแรกเข้าใจว่าคงจะไม่มีใครกิน สุดท้ายไปกัน 5 คน (รวมผมด้วย) ร้านที่ไปกันคือร้าน taj mahal ภายนอกร้านและในร้านดูเหมือนกับร้านข้างทางธรรมดามาก แต่ราคาจานนึ่งประมาณ 60 บาทขึ้นครับ
ก่อนสั่งอาหารผมเกรงกว่าเพื่อนๆจะสั่งไม่เป็น แต่สุดท้ายเพื่อนๆแต่ละคนเคยกินกันมาแล้วและยังรู้เมนูมากกว่าผมอีก ผมสั่งซุปผัก กับข้าวแซฟฟรอน ต้องบอกว่าเป็นมื้ออาหารอินเดียที่โดนใจมากที่สุด หอมอร่อยจริงๆ กินจนเกลี้ยงมากๆ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็บอกว่าร้านนี้อร่อยดี ไม่เสียทีที่มาลองกิน
จากนั้นจึงเดินทางไปต่อ ระหว่างทางเพื่อนแคนนาดา ขอแยกตัวไปทำงานจึงมีผม ชาวญี่ปุ่นสองคนกับสาวเกาหลี ระหว่างทางเราเดินคุยกันอย่างสนุกสนานผมมักจะมีคำถามที่เข้าใจจากละครเกาหลีมาถามซึ่งเธอก็บอกว่านั่นเป็นเพียงในละครเรื่องจริงไม่เป็นแบบนั้น และได้ความรู้ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่นปัจจุบันชาวเกาหลีนั้น จะต้องซื้อบ้านก่อนจึงจะแต่งงาน จะไม่อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่แบบในละครที่เคยดู เมื่อเดินสักพักถึงศาลหลักเมือง
ที่ศาลหลักเมืองนี้ เพื่อนๆต่างชาติสงสัยว่าวัดกับเสาหลักเมืองแตกต่างกันอย่างไร จึงได้อธิบายตามที่เข้าใจจากนั้นสาวเกาหลีจึงบอกให้ผมสอนการกราบพระหน่อย ซึ่งเพื่อนจากญี่ปุ่นก็สนใจเช่นกัน ผมสอนการกราบเบญจางคประดิษฐ์ คือส่วนของร่างกาย 5 ส่วนถูกพื้นขณะกราบและการกราบสามครั้งคือการเคารพในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อนๆสนใจมากเลยครับหลังจากที่ได้สอนเพื่อนๆแล้วเดินทางไปต่อ
COPE Visitor Centre
ตอนแรกสถานที่แห่งนี้ผมรู้สึกไม่ได้อยากมามากครับ แต่ชาวต่างชาติสนใจกันมาก ผมก็เลยมาตามน้ำเมื่อถึงแล้วภายนอกดูธรรมดามากแต่เมื่อเข้ามาแล้วภายในสถานที่แห่งนี้จัดเป็นอย่างดี โดยสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบกับระเบิดของชาวลาว
คำถามแรกที่ผมสงสัยคือประเทศลาวมีระเบิดจำนวนมากหรือจึงมีการจัดสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา เมื่อดู Clip พบว่าในช่วงสงครามเวียดนามนั้น ประเทศอเมริกาจะขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม แต่เมื่อทิ้งไม่หมดจะต้องทิ้งระเบิดที่อื่นให้หมดเพื่อลงจอดได้ จึงได้ปล่อยทิ้งไว้ในป่าที่ประเทศลาว เมื่อเวลาผ่านไปเมืองเจริญระเบิดที่ไม่ระเบิดจึงถูกฝั่งอยู่ในใต้ดิน ซึ่งบางคนก็เดินไปเหยียบบ้าง ทำอาหารเกิดความร้อน จึงทำให้เกิดระเบิดขึ้น สุดท้ายคนลาวจำนวนมากจึงพิการ ศูนย์แห่งนี้ได้ผลิตขา มือเทียมเพื่อช่วยเหลือบรรเทาผู้ที่โดนระเบิด ภายในศูนย์นี้มีภาพยนต์ฉายด้วย ผมดูแล้วรู้สึกสงสารมาก ด้วยความเหนื่อยที่เดินค่อนข้างไกลจึงเผลอหลับ เมื่อชมเสร็จแล้วก็เดินไปในส่วนของซื้อสินค้าเพื่อสมทบทุน ผมออกมาด้านนอกจึงซื้อไอศรีมชอกโกแลตกิน ซึ่งต้องบอกว่าอร่อยมากครับ กับอากาศภายนอกที่ค่อนข้างร้อน จึงทำให้สดชื่นมาก
หลังจากนั้นเดินกลับระหว่างทาง สองสาวญี่ปุ่นและเกาหลีของแยกตัว เหลือผมกับหนุ่มญี่ปุ่นจึงเดินไปเที่ยวกันสองคน ผมแวะที่วัดสีสะเกด ซึ่งแห่งนี้เป็นถือว่าเป็นวัดที่ห้ามพลาดเด็ดขาดอยู่ตรงข้ามกับหอพระแก้วครับ
ภายนอกดูสงบทางเข้าจะเห็นคนวาดภาพเทพด้วยปากกาลูกลื่นดูสวยงาม ภายในวัดแห่งนี้ที่ชื่อสีสะเกดแปลว่าแสน ซึ่งตามข้อมูลคือวัดแห่งนี้มีองค์พระถึงแสนองค์แต่ปัจจุบันเหลือเพียงหลักหลายหมื่นเท่านั้น เมื่อเข้าไปแล้วเอกลักษณ์ของวัดคือ รอบๆกำแพงจะมีองค์พระพุทธรูปมากมาย
ดูสวยงามภายในวัดไม่สามารถถ่ายรุปได้ครับ ต้องเข้าไปชมด้วยตัวเอง หลังจากเดินรอบๆแล้ว เพื่อนญี่ปุ่นก็เดินไปด้านหลังก็พบว่ามีมุมสงบที่ถ่ายรูปเดี่ยวได้
จึงฝากกล้องให้เพื่อนญี่ปุ่น หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้เป็นอาจารย์สอนเลข ซึ่งบางครั้งผมก็คุยภาษาอังกฤษกับเขาไม่รู้เรื่อง (ปกติถ้าคุยไม่ได้เค้าจะมีเพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นชวนแปล) บางทีก็งงบ้าง แต่นิสัยคนญี่ปุ่นน่ารัก และสุภาพมากครับ หลังจากเที่ยวที่วัดแล้วจึงตั้งใจเดินกลับแต่เห็นว่าเวลาเหลือจึงแวะที่ร้าน Joma ซึ่งเป็นร้านที่ควรแวะมาเพราะร้านนี้สวยงามดูดีมาก
ผมสั่งทาร์ตเลมอนมา ซึ่งต้องบอกว่าผิดหวังครับ เปรี้ยวและหวานมาก ส่วนเพื่อนญี่ปุ่นสั่งเค้กมะพร้าว สุดท้ายสลับกันกิน เพราะเค้ากลับชอบทาร์ตเลมอน โชคดีจริงๆ เมื่อกินเค้กเสร็จแล้วก็เดินทางกลับที่พัก หนุ่มญี่ปุ่นจะต้องกลับญี่ปุ่นคืนนี้ เค้าจึงไปเก็บกระเป๋า ส่วนผมกับเพื่อนที่เจอกันก็นั่งคุยเล่นกัน ผมจึงขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเจอกัน
เมื่อพูดคุยกันได้สักพัก จึงชวนไปกินอาหารเย็นกันครั้งนี้เลือกอาหารลาวกัน ร้าน Laos kitchen ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก เมื่อเดินไปถึงแล้วร้านคนค่อนข้างมาก เพราะเป็นอาหารลาวจริงๆ แต่เมื่อผมดูเมนูก็พบว่าเหมือนอาหารไทยหลายอย่างมากๆ สุดท้ายจึงเลือกเมนูส้มตำมังสวิรัติ
รสชาติอร่อยพอประมาณไม่หวาน ไม่เผ็ด พนักงานบอกว่าส่วนใหญ่จะมีการปรับรสชาติเรื่องความเผ็ดให้น้อยลงหลังจากกินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วผมก็ไปเดินเล่นที่ตลาดมืดอีกครั้ง ครั้งนี้เดินไปเจอตลาดสดเล็กๆเรียบแม่น้ำโขงเป็นชาวบ้านที่พักอยู่ที่ริมแม่น้ำโขงจริงๆ ผมเดินลองดูผักก็พบว่ามีความคล้ายกับตลาดสดบ้านเรามาก จึงได้สอบถามผักที่ผมไม่เคยเห็นว่าใช้ทำอาหารอะไรได้บ้าง จากนั้นเจ้าของแผงก็เลยเรียกให้ผมชิมอาหารของเขา พร้อมกับจะให้กินเบียร์ลาวด้วย แต่ผมชิมแค่อาหาร อาหารที่ชิมเป็นออมปลา อร่อยดีครับ คงจะเป็นเพราะปลาค่อนข้างสดจึงมีรสชาติอร่อย หลังจากได้ชิมแล้วก็ได้คุยกับพี่เจ้าแผงผักว่าผักนี้นำเข้ามาจากฝั่งประเทศไทยหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่าคนลาวไม่กินพืชผักจากเมืองไทยเพราะมีสารเคมีมาก และไม่อร่อย ต้องผักที่ปลูกจากประเทศลาวเท่านั้นเค้าถึงจะขายได้ (ฟังแล้วก็น่าคิดมากๆนะครับ)
หลังจากที่ได้นั่งคุยกับพี่เขาสักระยะ ก็เดินกลับที่พักและก็นอนหลับ
face2cu
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น